Friday, December 21, 2012
อวยพรปีใหม่ 2013
Joyeux Noël et Bonne Année 2013
Merry Xmas and Happy New year 2013
Voeux*
Meilleurs Souhaits de Joyeux Noël et Bonne et Heureuse Année
Meilleurs Voeux! *
Que la paix et la joie de cette Fête soient avec vous tous les jours de l'Année nouvelle!
Meilleurs Voeux! *
Que ce Joyeux Noël soit l'aube d'une année de bonheur.
Joyeux Noël *
Que le bonheur soit avec vous pendant Noël et pour toujours! *
Que la joie soit avec vous pendant Noël et pour toujours!
Que la paix et la joie de Noël vivent en vos coeurs pendant toute l'année *
Meilleurs voeux
À l'occasion du temps des fêtes, rien n'est plus agréable que de festoyer avec ceux qu'on aime. Beaucoup de bonheur, de douceur et de sérénité pour la Nouvelle Année.*
Joyeux Noël!
Que l'esprit de Noël soit avec vous aujourd'hui et tout au cours de la Nouvelle Année. *
Joyeux Noël!
Que la paix et la promesse de Noël vous remplissent le coeur de joie *
Joyeux Noël
Bonne et Heureuse Année!
Profitant de Noël, à l'aube d'une année nouvelle, nous voulons vous souhaiter santé, bonheur et prospérité! *
Wishes For Christmas *
• Wish you a Merry Christmas and may this festival bring abundant joy and happiness in your life!
• May this Christmas be so special that you never ever feel lonely again and be surrounded by loved ones throughout!
• You are special, you are unique; may your Christmas be also as special and unique as you are! Merry Christmas!
• Here's wishing you all the joys of the season. Wish you and your family a Merry Christmas!
• May joy and happiness snow on you, may the bells jingle for you and may Santa be extra good to you! Merry Christmas!
• May this Christmas be bright and cheerful and may the New Year begin on a prosperous note!
• Love, Peace and Joy came down on earth on Christmas day to make you happy and cheerful. May Christmas spread cheer in your lives!
• Sending the warmest Christmas wishes to you and your family. May God shower his choicest blessings on you and your family this Christmas!
• May all your days be merry and bright and may your Christmas be white! Merry Christmas!
• It is that time of the year again, when you are thankful for everything merry and bright. May this Christmas be a delight! Wishing you a Merry Christmas!
• May Christ bless you with all the happiness and success you deserve! Merry Xmas!
• I am dreaming of white Christmas, with every Christmas card I write, May your days be merry and bright, and May all your Christmases be white. Merry Christmas.
• May your world be filled with warmth and good cheer this Holy season, and throughout the year! Wish your Christmas be filled with peace and love. Merry Xmas.
• May the good times and treasures of the present become the golden memories of tomorrow. Wish you lots of love, joy and happiness. MERRY CHRISTMAS.
Saturday, December 1, 2012
Long live the King & Vive le Roi
Le Roi Rama IX
Bhumibol Adulyadej (en thaï : ภูมิพลอดุลยเดช), né le 5 décembre 1927, couronné en 1950 sous le nom dynastique de Rama IX, est l'actuel roi de Thaïlande. Souverain constitutionnel, il est chef de l'État et protecteur des religions de Thaïlande. Il est aussi le plus ancien chef d'État en exercice actuellement.
Dynastie : Chakri
Nom de naissance : Maha Chakri Bhumibol Adulyadej
Date de naissance : 5 décembre 1927 (85 ans)
Lieu de naissance : Cambridge (États-Unis)
Père : Mahidol Adulyadej, prince de Songkla
Mère : Srinagarindra
Conjoint : Sirikit Kitiyakara
Enfants : Princesse Ubol Ratana Rajakanya
Prince Maha Chakri Vajiralongkorn
Princesse Maha Chakri Sirindhorn
Princesse Chulabhorn Walailak
Biography of
His Majesty King Bhumibol Adulyadej
His Majesty the King was born on Monday the 5th of December 1927, at Mount Auburn Hospital, in Cambridge, Massachusetts, U.S.A., being the third and youngest child of Their Royal Highnesses Prince and Princess Mahidol of Songkla.
His Majesty attended the Ecole Nouvelle de la Suisse Romande, Chailly sur Lausanne. Later on he moved to the Gymnase Classique Cantonal of Lausanne from where he received his Bachelier es lettres diploma. He then chose to enter Lausanne University to study science, but the sudden death of his elder brother, King Ananda Mahidol, in Bangkok on the 9th of June, 1946, changed the course of his life completely, for the Law of Succession bestowed on him the arduous but challenging function of the Thai Crown. The Government on behalf of the people came to ask the Princess Mother for her other son to be their King. As he had not finished his education, His Majesty decided to go back to Switzerland for another period of study, but this time in the subject of Political Science and Law in order to equip himself with the proper knowledge for government.
Following the completion of his education in Switzerland in the early 1950s, His Majesty returned home to Thailand. In the years following, he began what has become his way of life - traveling throughout the year to the provinces and rural areas of the kingdom to visit his people, talk to them and, perhaps even more important, listen to them. He learns first hand of their needs and their problems and then sets about trying to find a way of giving immediate help; later these problems are studied in depth to find a permanent solution or way of assistance.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระนามเดิมว่า “ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น ( MOUNT AUBURN) รัฐเมสสาชูเขตต์ ( MASSACHUSETTS) ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อพระชนมายุได้ 5 พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (MERRIMENT) เมืองโลซานน์ (LASAGNA) ในปี พ.ศ. 2478 ได้ทรงเข้าศึกษาต่อที่ CEDE NOUBELLE DE LA SUES ROMANCE CHILLY ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติ ในระดับอุดมศึกษาทรงเข้าศึกษาในแผนกวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมืองโลชานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราช พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอ
ครั้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระนามว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดีจักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมาพุเพียง 19 พรรษา เท่านั้น ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนารทนเรนทร และพระยามานวราชเทวี เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงบรรลุนิติภาวะ ทั้งยังทรงมีภารกิจในการศึกษาต่ออีกอย่างหนี้ด้วย ทรงเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ ในสาขาวิชารัฐศาสตร์แทนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องด้วยทรงคำนึงถึงพระราชภารกิจในการปกครองประเทศเป็นสำคัญ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี มีพระโอรสและพระราชธิดารวม 4 พระองค์ ได้แก่
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
ประสูติเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494 ต่อมาได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสมรสกับชาวต่างชาติ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ
ประสูติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ต่อมาได้นับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาราช สยามมงกุฎราชกุมาร
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์
ประสูติเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรรัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
ประสูติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2500
พระราชกรณียกิจ
ตั้งแต่พุทธศักราช 2502 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระฉับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎร ในชนบทที่ดำรงชีวิตด้วยความยากจน ลำเค็ญ และด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน
อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทยที่รอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากนำความผาสุกและทรงยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎร ให้ดีขึ้นด้วยพระบุญญาธิการ และพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของราษฏรและเพื่อความเจริญพัฒนาของประเทศชาติตลอดระยะเวลาโดยมิได้ทรงคำนึงประโยชน์สุขส่วนพระองค์เลย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า 2,000 โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัดปัญหาทุกข์ยากของ ประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจร อุทกภัยและปัญหาน้ำเน่าเสีย ในปัจจุบัน ได้ทรงริเริ่มโครงการการช่วยสงเคราะห์และอนุรักษ์ช้างของไทยอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชดำริเพื่อขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้า พระเสโทหลั่งชุ่มพระพักตร์และพระวรกาย หยาดตกต้องผืนปถพี ประดุจน้ำทิพย์มนต์ ชโลมแผ่นดินแล้งร้าง ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์ นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชย์ ตราบจนปัจจุบันนานกว่า 53 ปี แล้ว
แม้ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “ เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พึ่งตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบอาชีพอยู่กินตามอัตภาพ ซึ่งราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลดีอยู่ในปัจจุบัน
พระอัจฉริยภาพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานความรักอันยิ่งใหญ่แก่อาณาประชาราษฎร์ พระราชภารกิจอันหนักเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์เทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลก จึงทรงได้รับการสดุดีและการทูลเกล้าฯถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมาก ทุกสาขาวิชาการ ทั้งยังมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีอย่างสูงส่ง ทรงพระราชนิพนธ์เพลงอันไพเราะนับแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวม 47 เพลง ซึ่งนักดนตรีทั้งไทยและต่างประเทศนำไปบรรเลงอย่างแพร่หลาย เป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพจนสถาบันดนตรีในออสเตรเลีย ได้ทูลเกล้าฯถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์แด่พระองค์
นอกจากนั้นยังทรงเป็นนักกีฬาชนะเลิศรางวัลเหรียญทอง ในการแข่งขันกีฬาชีเกมส์ทรงได้รับยกย่องเป็น “ อัครศิลปิน” ของชาตินอกจากทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรีแล้ว ยังทรงสร้างสรรค์งานจิตกรรมและวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ เช่น ทรงพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง ติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ และพระราชนิพนธ์เรื่อง ชาดก พระมหาชนก พระราชทานคติธรรมในการดำรงชีวิตด้วยความวิริยอุตสาหะ อดทน จนพบความสำเร็จ แก่พสกนิกรทั้งปวง
Friday, November 16, 2012
Sport Day
Journée du sport scolaire
Sport Day
กีฬาสีโรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม
Entre le 20-23 novembre 2012 c’est le moment du sport scolaire.
Week of sport Day all students love to join it.
หลังจบการแข่งขันแล้ว พวกเรามาทำใบงานที่ 2 กันนะ
Thursday, October 25, 2012
website ที่อยากให้เข้าชม
นักเรียนลองเข้าชม website ตามนี้ เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมนะ
http://www.busuu.com/enc/user/register
เรียนภาษาฝรั่งเศส online
http://www.languageguide.org/french/
เรียนศัพท์จากภาพ
http://www.education.vic.gov.au/languagesonline/french/french.htm
เรียนด้วยตนเอง สนุกมาก
http://school.obec.go.th/rn/abreviationetsigle.htm
คำย่อ
http://www.3ponts.edu/pages_anglais/frenchtests/frenchtest_everyday_life.html
ภาษาฝรั่งเศสในชีวิตประจำวัน
Wednesday, October 24, 2012
http://francais-thammasatklongluang.blogspot.com/
โปรดทราบ มาดาม ทำ website ใหม่
ชื่อ http://francais-thammasatklongluang.blogspot.com/
นักเรียนภาษาฝรั่งเศสทุกคน เข้าศึกษาได้เลยนะคะ
Monday, September 3, 2012
ใครยังไม่ได้ส่งงาน ยกมือขึ้น
รายชื่อนักเรียนที่ส่งงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/7
นักเรียนที่ไม่สามารถใช้internetให้ส่งงานในกระดาษA4
1. นายกฤตภาส ยงเสมอ
2. นายธีรภัทร์ หวานฉ่ำ
3. นายทนุ ปานทอง
4. นายเทพพิทักษ์ เผือกแก้ว
5. นายนันทิภาคย์ อินทร์ยัง
6. นางสาวณัฐภัสสร แก้วมาลา
7. นางสาวศศิธร ไทยแท้
8. นางสาวอวัสยา แสนนนท์
9. นางสาวสุพัตรา ดีเอี่ยม
10. นางสาวปีกาญจนา สินวราวิวัฒน์
11. นางสาวเจนจิรา จุลพันธ์
12. นางสาวชนินาถ อดุลยฤทธิกุล
13. นางสาวณัฎฐณิชา พินโน
14. นางสาวณัฐฐาพร สังวาลแย้ม
15. นางสาวธิดารัตน์ ผันปัญญา
16. นางสาวนันทวัน ปรีกราน
17. นางสาวบุลิน พลอาสา
18. นางสาวปทิตตา สรสิทธิ์
19. นางสาวประภัสสร สุขสวย
20. นางสาวปลิตา เลี่ยวเส็ง
21. นางสาวปิยาพัชร สร้อยสงิม
22. นางสาวพรพิมล ปากวิเศษ
23. นางสาวพิมพินี เพชรศิลาชัย
24. นางสาวรจนา สังข์ประไพ
25. นางสาวรตนศร นิธิกวีสกุล
26. รัชฎาภรณ์ เถื่อนทัด
27. นางสาวศิริญาพร สิมมาภาพ
28. นางสาวสินิทรา แย้มบาน
รายชื่อนักเรียนที่ส่งงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7
นักเรียนที่ไม่สามารถใช้internetให้ส่งงานในกระดาษA4
1. นายเศรษฐรัฐ พิมพ์ไทย
2. นายพงศธร รัตนมงคลกุล
3. นายณัฐณิชา ทรัพย์ประทุม
4. นางสาวนันทวรรณ์ สุนทรภักดี
5. นางสาวอัจจิมา ใจไหม
6. นางสาวกัญญารัตน์ จันทร์ดี
7. นางสาวดุสิตา ศรีอุดมพงษ์
8. นางสาวธาราบุตร ภาคีมุข
9. นางสาวเบ็ญจวรรณ บุตรเสือ
10. นางสาวจุฑามาศ สาดแฟง
11. นางสาวภรนันต์ เรืองสว่าง
12. นางสาวยลดา สนมศรี
13. นางสาวมณีรัตน์ สบาย
14. นางสาวชาลินี ธรรมลิขิต
15. นางสาวกฤติยาภรณ์ ขัดทะจันทร์
16. นางสาวจิราภา ศรีนารี
17. นางสาวจุฬาลักษณ์ บรรจงเปลี่ยน
18. นางสาวฐิติพร ตันสอน
19. นางสาวณัฐนิช หอมสุวรรณ
20. นางสาวณัฐรัตน์ ควรเสนอ
21. นางสาวนันทิชา สิงห์พยา
22. นางสาวเบญจมาศ พรหมณี
23. นางสาวปภาวดี พูลเพิ่ม
24. นางสาวประภัสสร ปาริชาตบริบูรณ์
25. นางสาวปรารถนา สั่งสอน
26. นางสาวพิชชาพร มีปิ่น
27. นางสาวยุพารัตน์ สุขสุวานนท์
28. นางสาววรรณวิภาวี โสสุด
29. นางสาวสุชานันท์ เรียนวัฒนา
30. นางสาวสุนันทา สุคันธพฤกษ์
31. นางสาวอธิติยา ทองปราง
32. นางสาวอภิญญา บุญลือ
33. นางสาวอารียา นามศรีชาติ
รายชื่อนักเรียนที่ส่งงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/7
นักเรียนที่ไม่สามารถใช้internetให้ส่งงานในกระดาษA4
1. นางสาวจริยา สวาย
2. นางสาวศิริลักษณ์ จูหลี
3. นางสาวอริสา อ่อนคล้าย
4. นางสาวชุดากาญจน์ หาชนะ
5. นางสาววิมลรัตน์ พวงทอง
6. นางสาวสุกัญญา วงษ์ว่องไว
7. นางสาวลักขณา จิตรีขาล
Monday, August 27, 2012
"วันแม่สากล"...
ในโอกาสที่วันแม่แห่งชาติของไทย ในวันที่ 12 สิงหาคม
มาดามจึงขอฝากบทความให้นักเรียนทุกคนได้อ่าน ในหัวข้อเรื่อง "วันแม่สากล"... เพราะ "แม่" คือ ผู้ที่มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิดชีวิตแก่เรา แม่ได้อุ้มชูเลี้ยงดูเราด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่จนเราได้เติบโตขึ้น ฉะนั้น ไม่เพียงเฉพาะคนไทยเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับวันแม่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและเทิดทูนสตรีผู้ให้กำเนิด … ว่าแต่วันแม่สากลนั้นกำเนิดและมีที่มาอย่างไร
คนไทยยกย่องให้วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ แต่ในความเป็นสากลแล้ว อีกหลาย ๆ ประเทศกำหนดให้ วันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่สากล ซึ่งต้นกำเนิดวันแม่นั้น มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่ชาวกรีกที่เฉลิมฉลองวันแม่ The Mother of the Gods ผ่านมาจนในปี ค.ศ. 1960 ชาวอังกฤษจึงเริ่มใช้ "Mothering Sunday" สืบเนื่องมาจาก พวกกรรมกรนำเค้กชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า The mothering cake นำกลับไปเยี่ยมมารดาของตน
ต่อมาในปี ค.ศ. 1872 จูเลีย วอร์ด ฮาว (Julia Ward Howe) นักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวบอสตัน สหรัฐอเมริกา ต้องการเรียกร้องสันติสุขสำหรับการพบแม่ในวันแม่ Mother's Day meetings แต่เวลาผ่านมาจนกระทั่งมีผู้มุ่งมั่นเรียกร้องให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการเมื่อ แอนนา มารี จาร์วิส (Anna Marie Jarvis) คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ได้เรียกร้องให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1908 หลังจากเธอต้องสูญเสียแม่ผ่านไป 2 ปี เธอต้องการให้ทุกคนระลึกถึงบุญคุณของแม่ ซึ่งความพยายามของเธอก็เป็นผลในปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) หลังประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
ทั้งนี้ วันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ได้กลายเป็นวันแม่แห่งชาติของหลายประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศอังกฤษ, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, อิตาลี, ตุรกี, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก, แคนาดา, จีน, ญี่ปุ่น, และเบลเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเทศที่กำหนดวันแม่แห่งชาติของตนเอง แต่ยังคงกำหนดวันอาทิตย์เช่นกันโดยใช้คำว่า Mothering Sunday
รู้ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับวันแม่สากลกันแล้ว เราในฐานะที่เป็นลูกก็อย่าลืมแสดงความรักต่อแม่ผู้ให้กำเนิดในวันแม่กันนะคะ แต่ไม่ว่าจะเป็นวันไหนเราก็สามารถที่จะแสดงความรักแม่ได้ในทุก ๆ วันอยู่แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกีพีเดยสารานุกรมเสรี
Date de la fête des Mères
La fête des Mères est une fête annuelle célébrée par les enfants en l'honneur de leur mère dans de nombreux pays.
Compte tenu de la longévité de la vie, cette fête est marquée également par les adultes de tous âges pour honorer leur mère.
Les premières traces de célébration en l'honneur des mères sont présentes dans la Grèce antique lors des cérémonies printanières en l'honneur de Rhéa (ou Cybèle), la Grande mère des dieux.
Mother's Day
Mother's Day is a celebration that honors mothers and motherhood, maternal bonds, and the influence of mothers in society. It is celebrated on various days in many parts of the world, most commonly in March, April, or May. It complements Father's Day, a celebration honoring fathers.
Mother's Day is an American invention and it's not directly descended from the many celebrations of mothers and motherhood that have occurred throughout the world over thousands of years; like the Greek cult to Cybele, the Roman festival of Hilaria, or the Christian Mothering Sunday celebration.Despite this, in some countries Mother's Day has become synonymous with these older traditions.
Friday, July 13, 2012
Friday, July 6, 2012
La mascotte des Jeux olympiques ตุ๊กตาสัญลักษณ์ Mascot
La mascotte olympique est une mascotte, un personnage imaginaire symbolisant l'esprit des Jeux olympiques modernes.
กีฬาโอลิมปิก 2012 เผยโฉมมาสคอต 2 ตัว
หน้าตาเหมือนมนุษย์ต่างดาว
ตัวแรกมีชื่อว่า เวนล็อค และ ตัวที่สองแมนเดอวิลล์
ตุ๊กตาสัญลักษณ์
เว็นล็อก และ แมนด์วิลล์
เว็นล็อก (Wenlock) กับ แมนด์วิลล์ (Mandeville) เป็นตุ๊กตาสัญลักษณ์ (Mascot)
อย่างเป็นทางการของโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ โดยมีการเปิดตัวเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
(ค.ศ. 2010) ซึ่งนับเป็นครั้งที่สอง ต่อจากที่แวนคูเวอร์ของแคนาดา ซึ่งมีการเปิดตัวตุ๊กตาสัญลักษณ์ของโอลิมปิก
และพาราลิมปิกเกมส์พร้อมกัน ทั้งสองตัวนี้เป็นแอนิเมชัน ที่สื่อแสดงถึงหยดเหล็กสองหยาด
จากโรงถลุงเหล็กในเมืองโบลตัน
สำหรับชื่อของทั้งสองตัว คือเว็นล็อก มาจากนามสกุลของ มัช เว็นล็อก (Much Wenlock)
แห่งเมืองซรอปเชียร์ (Shropshire) ผู้บุกเบิกการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปัจจุบัน กับแมนด์วิลล์
มาจากนามสกุลของ สโตก แมนด์วิลล์ (Stoke Mandeville) แห่งเมืองบักกิงแฮมเชียร์ (Buckinghamshire)
ผู้บุกเบิกการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ เป็นครั้งแรก โดยนักเขียน ไมเคิล มอร์ปูร์โก (Michael Morpurgo)
เป็นผู้เขียนแนวคิดของตุ๊กตาสัญลักษณ์คู่นี้ จากนั้นแอนิเมชันก็ประดิษฐ์ขึ้น โดยตั้งใจจะให้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเรื่องราวต่อเนื่อง เกี่ยวกับตุ๊กตาสัญลักษณ์ที่ใช้ในการแข่งขันคราวนี้ ซึ่งมีสองเรื่องคือ “Out Of A Rainbow”
ที่จะบอกเล่าความเป็นมา ของเว็นล็อกกับแมนด์วิลล์ และเรื่อง “Adventures On A Rainbow”
ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่เด็กๆ จากเรื่องแรก มาพบกับตุ๊กตาสัญลักษณ์ทั้งสอง แล้วพากันทดลองเล่นกีฬาต่างๆ
ในโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่มีมากมาย
เว็นล็อก (Wenlock) กับ แมนด์วิลล์ (Mandeville)
จุดสำคัญอยู่ที่ หัวเป็นแท็กซี่สัญลักษณ์สำคัญของเมืองต่างๆในประเทศอังกฤษ
นอกจากนั้นยังมีตาเดียว ซึ่งให้ความหมายเหมือนกล้องคอยบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่าง
ตลอดความประทับใจในกีฬา โอลิมปิกที่กรุงลอนดอน และที่ลืมไม่ได้เด็ดขาด
ก็คือโลโก้ห้าห่วงในรูปแบบของสายรัดข้อมือ
ตัวนำโชคทั้งคู่จะมีหน้าที่เดินทางไปทั่วอังกฤษ เพื่อโปรโมทการเป็นเจ้าภาพ กีฬาโอลิมปิก 2012
ที่กรุงลอนดอน เป็นเจ้าภาพ ผู้ออกแบบเผยว่า ตาเดียวของมาสคอตจะทำหน้าที่เป็นกล้องเก็บภาพ
ความประทับใจความรู้สึกในการเดินทางสู่ปี 2012 นอกจากนั้นอีกไฟบนหัวที่เหมือนแท็กซี่ แมนเดอวิลล์
จะมีทรงผมโดดเด่นแปลกตาเหมือนตัว โซนิค
มาสคอตถูกสร้างขึ้นจากหยดเหล็กที่ใช้ทำ โอลิมปิก สเตเดียม ใน ลอนดอน เวนล็อค
มาจากหมู่บ้านเล็กๆ มัช เวนล็อค ใน ชรอปเชียร์เพราะเมื่อกลางทศวรรษ 19 การแข่งขัน เวนล็อค เกมส์
กลายมาเป็นแรงพลักดันอันนำมาสู่ โอลิมปิก เกมส์ สมัยใหม่ที่เราได้ติดตามกันจนถึงทุกวันนี้
Saturday, June 23, 2012
Le 14 juillet 1789 วันชาติฝรั่งเศส
ฟร็องซัว ออล็องด์
พรรคสังคมนิยม (PS)
2012 - ปัจจุบัน
นีกอลา ซาร์กอซี
UMP
2007 - 2012
ฌัก ชีรัก
RPR - UMP
1995 - 2007
ฟร็องซัว มีแตร็อง
พรรคสังคมนิยม (PS)
1981 - 1995
วาเลรี ฌิสการ์ แด็สแต็ง
FNRI - UDF
1974 - 1981
วันชาติฝรั่งเศส
ย้อนไปเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 กองทัพทหาร และประชาชนได้พร้อมใจกันบุกคุกบาสติลย์ (Bastilles) เพื่อปลดปล่อย นักโทษ การเมือง ให้เป็นอิสระ อันคุกบาสติลย์นี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของการบีบบังคับและความอยุติธรรม ซึ่งเกิดจากการปกครอง โดยกษัตริย์ ที่ไร้ ทศพิธราชธรรม จึงประกาศวันที่ได้รับการปลดปล่อยนี้ให้เป็น..วันชาติของฝรั่งเศส (La Fête Nationale)
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ประเทศฝรั่งเศสมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่ง ราชวงศ์บูรบอง (Bourbon)บ้านเมืองอยู่ในระยะของสงครามอังกฤษ เพื่อแย่งชิงอาณานิคม ทำให้การเงินการคลังของประเทศล้มละลาย ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขาดแคลน แต่ในทางกลับกัน ราชสำนักกลับมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย ชนชั้นขุนนางได้รับการยกเว้น ภาษี ส่วนประชาชน ที่มีความยากจนอยู่แล้วต้องถูกทางการรีดภาษีอย่างหนัก ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก
ในตอนนั้น ชนชั้นกลางมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีการศึกษาดี ร่ำรวย แต่ไม่มี สิทธิในทาง การเมือง การปกครอง เทียบเท่าชนชั้นพระ และชนชั้นขุนนาง จึงต้องการเปลี่ยนแปลงระบบเก่า และได้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยเข้าร่วม การปฏิวัติในอเมริกา ซึ่งมีสาระสำคัญในทางทฤษฎีว่าด้วยสิทธิิ ตามธรรมชาติิของมนุษย์ และสองนักปราชญ์แห่งยุคคือ วอลแตร์ กับ มองเตสกิเออ นำทฤษฎีดังกล่าวมาสอนประชาชน ในขณะเดียวกัน มาควิส เดอ ลา ฟาแยตต์ (Marquis de la Fayette) ซึ่งทำสงคราม ช่วยเหลือ ชาวอาณานิคม ในอเมริกาต่อต้านอังกฤษจนได้ชัยชนะ ก็นำความคิดนี้มาเผยแพร่ จึงทำให้ ประชาชนชาวฝรั่งเศส ดิ้นรนเรียกร้อง ให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพยิ่งขึ้น
เดือน มิถุนายน ค.ศ. 1789 ประชาชนซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ได้บุกเข้าปล้นสะดมบ้านของพวกขุนนาง กรุงปารีสมีแต่่ ความวุ่นวาย ชนชั้นกลางได้รวมตัวกันก่อตั้งกองทหารรักษาการณ์แห่งชาติเข้าร่วม กับประชาชนทำลายคุกบาสติลย์ ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการปลดแอกอำนาจการปกครองโดยกษัตริย์ นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ยิ่ง และสำคัญของโลก
ในปี ค.ศ. 1821 พระ เจ้าหลุยส์ที่ 18 กลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง แต่พระอนุชาคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 ทรงพยายาม ฟื้นฟูระบบเก่าขึ้นมาอีก จึงมีการปฏิวัติขึ้นอีก พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปซึ่งดำรงตำแหน่งกษัตริย์อยู่ ได้ถูกเนรเทศออกนอก ประเทศ และต่อมาก็ได้มีการสถาปนา สาธารณรัฐขึ้น เป็นครั้งที่ 2 โดยมีหลุยส์นโปเลียนทำการรัฐประหารตั้งตัวเองขึ้น เป็นจักรพรรดิ ซึ่งพระองค์ทำให้ชาติฝรั่งเศสมีความเข้มแข็ง มั่นคงขึ้น สภาพทุกอย่าง ในประเทศดีขึ้น และมีการขยาย อาณานิคมไปยังประเทศต่างๆ
ในปี ค.ศ. 1860 พระเจ้าหลุยส์นโปเลียน สถาปนาจักรพรรดิฝรั่งเศสในเม็กซิโกแต่ไม่สำเร็จ เพราะ ถูกอเมริกา ขัดขวางไว้ และยังต้องทำ สงคราม กับปรัสเซียอีก ฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายแพ้อีกครั้งและต้องเสียดินแดนในแคว้นอัลซาสให้แก่ ปรัสเซีย อีกด้วย ซึ่งทำให้พระองค์ต้องสละราชบัลลังก์
ใน ปี ค.ศ.1875 มีการสถาปนาฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 3 ยุคของนโปเลียนสิ้นสุดลง ทำให้ประเทศฝรั่งเศสอ่อนแอ เป็นอย่างมาก ต้องเสียดินแดน ให้ผู้รุกราน ประจวบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เป็นเหตุให้ฝรั่งเศส ยิ่งบอบช้ำ ขึ้นไปอีก ภายหลัง ได้มี ีการเซ็นสัญญาสงบศึกที่ Vinchy แล้วฝรั่งเศสก็ประกาศตัวเป็นอิสรภาพ โดยความช่วยเหลือ จากฝ่ายพันธมิตรต่างๆ ในเดือนกันยายนปี 1944 นายพลชาลส์เดอโกล์ ก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ในปี ค.ศ.1946 ซึ่งเป็นยุคของสาธารณรัฐที่ 4
Sunday, June 17, 2012
การพูดรายงานหน้าห้อง
การพูดรายงานหน้าห้อง
1. กล่าวสวัสดีผู้ฟัง
ให้ลำดับผู้ฟังที่อาวุโสสูงสุดไว้ข้างหน้าสุด เช่น
Madame le professeur, mes chers amis, bonjour. หรือ
Monsieur le directeur, monsieur le professeur, mes chers amis, bonjour.
2. บอกโครงสร้างคร่าว ๆ ของ exposé เพื่อลำดับความคิดของคนฟัง
Nous avons le plaisir de faire un exposé sur La Culture Thailandaise. พวกเรายินดีที่จะนำเสนอรายงานหน้าห้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย
Notre exposé se compose de 3 parties. รายงานของเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
La première partie parle de la culture générale en Thailande. ส่วนที่หนึ่งพูดเกี่ยวกับวัฒนธรรมทั่วๆ ไปในประเทศไทย
La deuxième traite la présence et l’influence de la culture occidentale dans la culture thailandaise. ส่วนที่สองพูดเกี่ยวกับการปรากฏและอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่มีต่อวัฒนธรรมไทย
La dernière donnera quelques exemples concrets de la défense de la culture thailandaise. ส่วนสุดท้ายจะให้ตัวอย่างการปกป้องวัฒนธรรมไทยที่เป็นรูปธรรมจำนวนสองสามตัวอย่าง
3. เข้าสู่เนื้อหา
Je vais parler maintenant de la culture générale en Thailande …. ดิฉัน (ผม) จะขอเริ่มพูดเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยทั่วไป
4. การส่งให้คนอื่นพูดต่อ
Je vais passer la parole à ….. ชื่อเพื่อน .... qui va parler de la présence et l’influence …. ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของ....ที่จะมาพูดถึง.....
5. กล่าวสรุป
Pour conclure/En guise de conclusion, j’aimerais dire que …. เพื่อเป็นการสรุป ดิฉัน (ผม) อยากจะบอกว่า .....
6. ขอบคุณ
Avant de terminer, je tiens à remercier Monsieur ….. (ครู เพื่อน หรือคนที่ช่วยเหลือให้ข้อมูล) qui nous apporte une aide précieuse. ก่อนจบการรายงาน ขอขอบคุณ.....ที่กรุณาช่วยเหลือ
7. จบการรายงาน
Merci de votre attention. ขอบคุณที่กรุณาฟัง
Saturday, June 9, 2012
LA FRANCE วัฒนธรรมน่ารู้
La civilisation française (วัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส)
La civilisation française (วัฒนธรรมประเทศฝรั่งเศส)
La vie educative (ระบบการศึกษา)
La vie éducative
• Il faut aller à l'école de 6 a 16 ans.
C'est obligatoire.
(การศึกษาภาคบังคับให้ไปโรเงเรียนตั้งแต่ 6-16 ปี)
• L'année scolaire commence au mois de septembre
(ปีการศึกษาเริ่มต้นเดือน กันยายน)
• L'école maternelle [3-6 ans]
→ l'école primaire [6-11 ans]
→ le collège [sixième - troisième]
→ le lycée secondaire [ seconde - première - terminale]
(ลำดับการศึกษา โรงเรียนอนุบาล [3-6 ปี]
→ ประถมศึกษา [6-11 ปี]
→ มัธยมศึกษาตอนต้น
→ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
• Aprés avoir fini les études secondaires, on recoit le baccalauréa
(หลังจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จะได้รับใบปริญญา)
• Les vacances scolaires (วันหยุดโรงเรียน):
Toussaint du 25 octobre au 3 novembre [en automne]
(วันหยุดฤดูใบไม้ร่วง วันที่ 25 ตุลาคม ถึง 3 พฤศจิการยน)
Noël du 21 decembre au 5 janvier [en hiver]
(วันหยุดฤดูใบไม้ผลิ วันที่ 21 ธันวาคม ถึง 5 มกราคม)
Neigé du 2 fevrier au 13 fevrier [en hiver]
(วันหยุดฤดูหนาว วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ถึง 13 กุมภาพันธ์)
Pâques du 25 mars au 10 avril [au printemps]
(วันหยุดฤดูหนาว วันที่ 25 มีนาคม ถึง 10 เมษายน)
Eté du 30 juin a août
(วันหยุดฤดูร้อน 30 มิถุนายน ถึง สิงหาคม)
Le vocabulaire de la classe:
คำศัพท์ในชั้นเรียน อุปกรณ์การเรียน คำสั่งในชั้นเรียน
Le vocabulaire de la classe:
Le professeur
Les élèves
La classe
La salle de cours
La fenêtre
La porte
Le bureau
La table
La chaise
Le tableau
La craie
L’éponge
Qu’est ce qu’il y a dans ton cartable ?
Le livre, le cahier, le classeur, l’agenda, le stylo, le crayon,les feutres, les crayons de couleur, la gomme, du blanc, larègle, l’équerre, le compas, le rapporteur.
Sunday, May 27, 2012
La rentrée
Welcome back to school ขอต้อนรับกลับสู่รั้วแดง-น้ำเงิน
Bienvenue à la rentrée des classes.
Chers étudiants, นักเรียนที่รัก
Bienvenue à la rentrée des classes et le début d’une nouvelle année scolaire!
ยินดีต้อนรับนักเรียนภาษาฝรั่งเศสทุกคนสู่การเปิดเทอมใหม่ปีการศึกษา 2555
J’ espère que vous avez tous passés de très bonnes grandes vacances et que vous êtes prêts pour une nouvelle année passionnante.
มาดามหวังว่าทุกคนคงจะมีความสุขกับการปิดภาคเรียนช่วงฤดูร้อน ที่ผ่านมาและพร้อมที่จะเริ่มเรียนในปีการศึกษาใหม่นี้ด้วยความกระตือรือร้น (จริงหรือเปล่า ?)
เริ่มศึกษางานปีการศึกษา 2555 ได้ ที่
http://
http://ruchiratk.blogspot.com/
http://ruchira-madame.blogspot.com/
http://madameruchirasaengkrod.blogspot.com/
http://madame-salut.blogspot.com/
http://www.francais-thammasatklongluang.net/francais/
http://madame-ruchiratk.blogspot.com/
นักเรียน ม. 4
งานภาคเรียนที่ 1 วิชา สืบค้นข้อมูลทาง lnternet
เรียน2คาบ/สัปดาห์ วิชานี้ไม่มีการสอบมีแต่คะแนนส่งงาน
ส่งงานทางmail เท่านั้น ruchira02@hotmail.com ถ้าส่งทางemailไม่ได้จริงๆ ให้ส่งเป็นกระดาษA4 ตามกำหนดเวลา
1. แนะนำตัวเอง ภาษาไทย อ่านแล้วรู้ว่าคุณเป็นใคร มีอะไรพิเศษชอบไม่ชอบอะไร เขียนแนะนำอย่างเป็นกันเองแบบสุภาพ ส่งรูปมาด้วยให้เห็นหน้าชัด ๆ (ภายในเดือนมิถุนายน2555) ถ้าส่งทางemailไม่ได้ให้ส่งเป็นกระดาษA4ติดรูปมาให้เรียบร้อย
2.อ่านบทความรู้ที่เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส สรุปย่อ 5 เรื่อง ๆ ละ ประมาณอ่านแล้วเข้าใจไม่สั้นมากเกินไป ไม่ยาวมากเกินไป ส่งก่อนสอบกลางภาค
3.แนะนำตนเองเป็นภาษาฝรั่งเศส 5 ประโยคพร้อมคำแปลข้อนี้ให้ส่งได้อย่างช้าที่สุดเดือนสิงหาคม2555 เป็นของขวัญวันแม่ให้มาดามนะ
4.สรุปความรู้ที่เรียนกับ Sylvain จำนวน 5 เรื่อง ส่งก่อนสอบปลายภาค
5.ข้อนี้ให้สรุปว่าได้ประโยชน์อะไรจาก website ของมาดามบ้าง
เข้าศึกษาประมาณกี่ชั่วโมง/สัปดาห์ เขียนให้ตรงกับความจริงมากที่สุด
ส่งตอนสอบปลายภาคเสร็จแล้ว
วิชาภาษาฝรั่งเศส ที่เรียนกับ M.Sylvain Marchetto
เรียน4คาบ/สัปดาห์
1.จดคำศัพท์ คำอ่าน คำแปล ภาคเรียนละ 250 คำ สมุดศัพท์ใช้ได้ 3 ปี
ถ้าทำหาย จดตั้งแต่ ม.4-5-6 ปีละ 500 คำ รวม 1,500 คำ
2.สมุดแบบฝึกหัด ไวยากรณ์ จดบันทึก ใช้เล่มเดียวกัน ตลอด 3 ปี ส่งให้ตรวจ ตลอดตลอดขอบอกห้ามหาย
3.ทำแบบฝึกหัด ตามใบงาน และฝึกกิจกรรม ฟังพูดอ่านเขียนให้ครบตามที่Sylvain สอน
ถ้ามีข้อสงสัยสอบถามรุ่นพี่ ม.5 และ ม.6 ได้เสมอ
ที่สำคัญนักเรียนภาษาฝรั่งเศส ม.4-5-6 ห้ามทะเลาะกันเองเด็ดขาด
หมายเลขโทรศัพท์ของมาดามรุจิรา แสงกรด 081-4227657
นักเรียน ม. 5
งานภาคเรียนที่ 1 วิชา สืบค้นข้อมูลทาง lnternet
เรียน2คาบ/สัปดาห์ วิชานี้ไม่มีการสอบมีแต่คะแนนส่งงาน
ส่งงานทางmail เท่านั้น ruchira02@hotmail.com ถ้าส่งทางemailไม่ได้จริงๆ ให้ส่งเป็นกระดาษA4 ตามกำหนดเวลา
1. แนะนำตัวเอง ภาษาไทย ให้มาดามอ่านแล้วรู้ว่าคุณเป็นใคร เล่าว่าการเรียนทางinternet บรรยากาศในห้องเป็นอย่างไร เคยไม่เข้าชั้นเรียนหรือไม่ เคยไม่ทำงานตามที่สั่งบ้างหรือไม่ เข้าwebsiteที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนหรือไม่ ส่งรูปมาด้วยให้เห็นหน้าชัด ๆ (ส่งภายในเดือนมิถุนายน2555) ถ้าส่งทางemailไม่ได้ให้ส่งเป็นกระดาษA4ติดรูปมาให้เรียบร้อย
2.อ่านบทความรู้ที่เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส สรุปย่อ 10 เรื่อง ๆ ละ ประมาณอ่านแล้วเข้าใจไม่สั้นมากเกินไป ไม่ยาวมากเกินไป ส่งก่อนสอบกลางภาค ต้องระบุว่าอ่านwebsiteใดเช่นจาก http://......
3.แนะนำตนเองเป็นภาษาฝรั่งเศส 10 ประโยคพร้อมคำแปลข้อนี้ให้ส่งได้อย่างช้าที่สุดเดือนสิงหาคม2555 เป็นของขวัญวันแม่ให้มาดามนะ
4.สรุปความรู้ที่เรียนกับ Sylvain จำนวน 10 เรื่องส่งก่อนสอบปลายภาค
5.ทำPowerPoint หมวดหมู่คำศัพท์ เช่น ดอกไม้ ผลไม้ กีฬา เสื้อผ้า อาหาร สถานที่ ประเทศ มีภาพ มีคำศัพท์ มีคำอ่าน มีคำแปล คนละ 10 เฟรม ส่งก่อนสอบปลายภาค
6.ข้อนี้ให้สรุปว่าได้ประโยชน์อะไรจาก website ของมาดามบ้าง
เข้าศึกษาประมาณกี่ชั่วโมง/สัปดาห์ เขียนให้ตรงกับความจริงมากที่สุด
ส่งตอนสอบปลายภาคเสร็จแล้ว
วิชาภาษาฝรั่งเศส ที่เรียนกับ M.Sylvain Marchetto
เรียน4คาบ/สัปดาห์
1.จดคำศัพท์ คำอ่าน คำแปล ภาคเรียนละ 250 คำ สมุดศัพท์ใช้ได้ 3 ปีถ้าทำหาย จดตั้งแต่ ม.4-5-6 ปีละ 500 คำ รวม 1,500 คำ ขณะนี้นักเรียนอยู่ ม.5แล้ว ตอนม.4 จดบ้างหรือยัง พี่ม.5เป็นตัวอย่างที่ดีของน้อง ม.4 ด้วยนะ เพราะว่าต้องอ่านคำศัพท์กับ Sylvainทุกครั้งที่เรียน
2.สมุดแบบฝึกหัด ไวยากรณ์ จดบันทึก ใช้เล่มเดียวกัน ตลอด 3 ปี ส่งให้ตรวจ ตลอดตลอดขอบอกห้ามหาย
3.ทำแบบฝึกหัด ตามใบงาน และฝึกกิจกรรม ฟังพูดอ่านเขียนให้ครบตามที่Sylvain สอน
ที่สำคัญนักเรียนภาษาฝรั่งเศส ม.4-5-6 ห้ามทะเลาะกันเองเด็ดขาด
หมายเลขโทรศัพท์ของมาดามรุจิรา แสงกรด 081-4227657
นักเรียน ม.6
งานภาคเรียนที่ 1 วิชา สืบค้นข้อมูลทาง lnternet
เรียน2คาบ/สัปดาห์ วิชานี้ไม่มีการสอบมีแต่คะแนนส่งงาน
ส่งงานทางmail เท่านั้น ruchira02@hotmail.com ถ้าส่งทางemailไม่ได้จริงๆ ให้ส่งเป็นกระดาษA4 ตามกำหนดเวลา
1. แนะนำตัวเอง ภาษาไทย อ่านแล้วรู้ว่าคุณเป็นใคร เขียนรายงานว่าหลังจากเรียนภาษาฝรั่งเศสมา 2 ปี นักเรียนสามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง อย่าลืมส่งรูปมาด้วยให้เห็นหน้าชัด ๆ (ภายในเดือนมิถุนายน2555) ถ้าส่งทางemailไม่ได้ให้ส่งเป็นกระดาษA4ติดรูปมาให้เรียบร้อย
2.อ่านบทความรู้ที่เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส สรุปย่อ 15 เรื่อง ๆ ละ ประมาณอ่านแล้วเข้าใจไม่สั้นมากเกินไป ไม่ยาวมากเกินไป ส่งก่อนสอบกลางภาค
3.แนะนำตนเองเป็นภาษาฝรั่งเศส 15 ประโยคพร้อมคำแปลข้อนี้ให้ส่งได้อย่างช้าที่สุดเดือนสิงหาคม2555 เป็นของขวัญวันแม่ให้มาดามนะ
4.สรุปความรู้ที่เรียนกับ Sylvain จำนวน 15 เรื่อง ส่งก่อนสอบปลายภาค
5.ข้อนี้ให้สรุปว่าได้ประโยชน์อะไรจาก website ของมาดามบ้าง
เข้าศึกษาประมาณกี่ชั่วโมง/สัปดาห์ เขียนให้ตรงกับความจริงมากที่สุด
ส่งตอนสอบปลายภาคเสร็จแล้ว
วิชาภาษาฝรั่งเศส ที่เรียนกับ M.Sylvain Marchetto
เรียน4คาบ/สัปดาห์
1.จดคำศัพท์ คำอ่าน คำแปล ภาคเรียนละ 250 คำ สมุดศัพท์ใช้ได้ 3 ปีถ้าทำหาย จดตั้งแต่ ม.4-5-6 ปีละ 500 คำ รวม 1,500 คำ ม.6 คนไหนยังไม่เคยมีสมุดศัพท์จงทำใจ รีบทำตั้งแต่ต้นปี มิฉะนั้นเกรดท่านไม่สวยแน่ๆ
2.สมุดแบบฝึกหัด ไวยากรณ์ จดบันทึก ใช้เล่มเดียวกัน ตลอด 3 ปี ส่งให้ตรวจ ตลอดตลอดขอบอกห้ามหาย
3.ทำแบบฝึกหัด ตามใบงาน และฝึกกิจกรรม ฟังพูดอ่านเขียนให้ครบตามที่Sylvain สอน
4. ฝึกพูดแนะนำตัว และหัวข้อที่สนใจกับ Sylvainคนละ 1 หัวข้อ
ที่สำคัญนักเรียนภาษาฝรั่งเศส ม.4-5-6 ห้ามทะเลาะกันเองเด็ดขาด
หมายเลขโทรศัพท์ของมาดามรุจิรา แสงกรด 081-4227657
Tuesday, March 13, 2012
ตรวจรายชื่อนักเรียนส่งงานเพิ่ม
นักเรียนส่งงาน จนถึง 13 มีนาคม 2555 เวลา 17.00 น
ม.6 ชญาดา
กฤติยาภรณ์
ปณิชา
สุนันทนา
ทนงศักดิ์
เศณษฐรัฐ
อภิญญา
ศุภวิชญ์
อธิตติยา*
จุฬาลักษณ์
จุทามาศ
มณีรัตน์
พงศธร
อริยธัช
ณัฐพร4/7ณัฐพงษ์ ?
ม.6 ชญาดา
กฤติยาภรณ์
ปณิชา
สุนันทนา
ทนงศักดิ์
เศณษฐรัฐ
อภิญญา
ศุภวิชญ์
อธิตติยา*
จุฬาลักษณ์
จุทามาศ
มณีรัตน์
พงศธร
อริยธัช
ณัฐพร4/7ณัฐพงษ์ ?
Friday, March 2, 2012
Vous êtes genial !!
แจ้ง นักเรียน 4/7 5/7 และ 6/7 ที่รัก
น่าปลื้มใจมาก หลังจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555
ที่เราได้มีโอกาสพบกันทั้งหมด
นักเรียนทุกห้องส่งงานกันมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะ ม.6 น่ารักอะ
เมื่อรู้ว่าต้องทำงานอะไรส่งก็รีบทำเลย
ขณะนี้ มาดามกำลังตรวจงานตามลำดับก่อนหลัง
ที่นักเรียนส่งงานนะ
ส่งงานเพิ่ม
ทนงศักดิ์
เบญจวรรณ
มณีรัตน์
เศรษฐรัฐ
จิราภา
อัจจิมา
ณัฐนิชา
นันทวัน
พงศธร
ณัฐพงษ์
สุนันทา
เบญจมาศ
อารียา
อรพรรณ
อัญมณี
อริย์ธัช
ปณิชา
พิชชาพร
ยลดา
ปณาลี
ศศิวิมล
จุฑามาศ
นงคราญ
ชาลินี
นภดล
อัครพร
สุชานันท์
อริษา
ศิริลักษณ์
จริยา
สุกัญญา
นภดล
สุวนันท์
ลักขณา(สุรีพร)
สุชานันท์
ชุดากาณจน์
รุจิรา
สิทธิโชค
อย่าลืม งานคือคะแนน
ส่งมาก ส่งครบ เกรดเริ่ดค่ะ
รัก
มาดาม
Saturday, February 18, 2012
ดูซิว่า ใครส่งงานเพิ่มแล้ว
โปรดตรวจสอบรายชื่อได้เลยค่ะ
นักเรียนที่ส่งงาน 1-19 ก.พ.55 เวลา 09.00 น
มาดามให้กำลังใจทุกคนที่กำลังจะทำงานส่งนะคะ
ใครที่ไม่สามารถส่งได้ทาง email ให้ทำงานเป็นเอกสาร A4
เป็นรายงานมาได้เลยที่M.Sylvain (ทุกงานคือคะแนน)
อริสา 5/7
ศิริลักษณ์ 5/7
จริยา 5/7
นภดล 5/7
สุกัญญา 5/7
สุวนันท์
สิทธิโชค
ลักขณา(สุรีพร)
ยลดา 4/7
สุชานันท์
รุจิรา 5/7
ชุดากาญจน์
Saturday, February 4, 2012
คุณรู้จักความรักดีแค่ไหน ?
Fête des amoureux
Le jour de la Saint-Valentin, le 14 février, est considéré dans de nombreux pays comme la fête des amoureux et de l'amitié. Les couples en profitent pour échanger des mots doux et des cadeaux comme preuves d’amour ainsi que des roses rouges qui sont l’emblème de la passion.
La fête est maintenant associée plus étroitement à l’échange mutuel de « billets doux » ou de valentins illustrés de symboles tels qu’un cœur ou un Cupidon ailé.
On estime qu’environ un milliard de ces cartes sont expédiées chaque année à l’occasion de la Saint-Valentin ; ce chiffre paraît plus que suspect, quand on considère que cette fête est limitée par de nombreux aspects, aussi bien géographiques (la saint-Valentin n'est pas fêtée partout à travers « le monde »), financière (le nombre de personnes dans le monde ayant les moyens de se payer des loisirs de ce type), culturelle (les fleurs et les chocolats semblent beaucoup plus prisés que les cartes de vœux), sociale (part de célibataires dans la société).
Valentine's Day
Saint Valentine's Day, commonly shortened to Valentine's Day, is a holiday observed on February 14 honoring one or more early Christian martyrs named Saint Valentine. It is traditionally a day on which lovers express their love for each other by presenting flowers, offering confectionery, and sending greeting cards (known as "valentines").
Modern Valentine's Day symbols include the heart-shaped outline, doves, and the figure of the winged Cupid. Since the 19th century, handwritten valentines have given way to mass-produced greeting cards.
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เรื่องของ วันวาเลนไทน์ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันสักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) - valentine มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสต์มาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก
ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้นได้ มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา
วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น...ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”
จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมืออธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา แล้วเธอก็มองเห็น เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร
ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะเขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า - From Your Valentine - เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม
การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
• กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
• กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
• กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก ความเสน่หาต่อกัน
• กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่
• 1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ
• 2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
• 3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ
• 7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
• 9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป
• 10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
• 11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
• 12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
• 13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฏิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)
• 15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง
• 20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน
• 21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้
• 36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
• 40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
• 99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย
• 100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
• 101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
• 108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
• 999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
• 1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย
• 9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร
ฟังเพลงรักวันวาเลนไทน์
http://www.youtube.com/watch?v=ERf2WV3ugnI&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=GPGF9o3T9tM&feature=related
Tuesday, January 31, 2012
มารับรางวัล จากมาดาม
Félicitations ! รายชื่อนักเรียนส่งงานและมาดามรุจิรา แสงกรด ได้ตรวจแล้ว
ผู้ปกครองท่านใดเปิดอ่านจงภูมิใจนะคะ นักเรียนของท่านมีความรับผิดชอบดีมาก
นี่คือรายชื่อของนักเรียน 4/7 5/7 และ 6/7 ที่ส่งงานภาษาฝรั่งเศสทาง Internet
• ชาลิณี
• นันทิชา
• ชุดากาญจน์
• สุชานันท์
• อารียา
• นงคราญ
• ศศิวิมล
• จุฑามาศ
• ปณาลี
• จินดารัตน์
• ณัฐณิชา
• ปภาวดี
• นันทวรรณ
• ยุพารัตน์
• สุรีพร
• สุวนันท์
• อภิญญา
• พงศธร
• รุจิรา
ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 21.30 น
ไม่ได้บอกนามสกุล และห้อง แต่คนที่ส่งงานจะรู้ว่าตนเองส่งงานกี่ชิ้นแล้ว
คนที่ยังไม่มีรายชื่อ แสดงว่า นายแน่มากที่ท้าทายมาดาม
แล้วคุณจะเข้าใจว่า มาดามให้โอกาสคุณแล้ว แต่คุณปฏิเสธสิทธินั้น
ยังมีเวลาอีก 40 วัน สำหรับ 4/7 5/7 และ 30 วัน สำหรับ 6/7
Sunday, January 8, 2012
รู้จักประวัติวันเด็กหรือยังJournée nationale de l’enfant
เชิญศึกษา วันเด็กที่เป็นภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และไทย
มาอ่านประวัติวันเด็กกันดีกว่า
Journée nationale de l’enfant
Des droits de l'homme aux droits de l'enfant
Le mot enfant nous vient du latin "infans" qui signifie : "celui qui ne parle pas." On voit déjà fidèlement se refléter dans cette origine du mot une conception bien particulière de l'enfant : "soit sage et tais toi !"
Ainsi les pères gaulois, avaient droit de vie et de mort sur les enfants.
Les lois romaines autorisaient les hommes à accepter ou refuser un enfant à sa naissance.
Ce sont les philosophes du XVIIIe siècle qui fondèrent notre réflexion actuelle de l'éducation et l'épanouissement de chacun.
Arrive alors la Révolution Française avec l'abolition des privilèges (nuit du 4 août 1789) et surtout l'adoption, le 26 août de la Déclaration des droits de l'homme et du citoyen.
En ce qui concerne les droits des enfants, la Révolution laisse aussi une trace indélébile. Les relations parents/enfants évolue et la mère y prend toute sa place. En 1793 l'enseignement primaire devient obligatoire et gratuit.
Des reculs auront lieu et il faudra attendre le XIXe siècle pour obtenir de nouvelles conquêtes. Ainsi les soulèvements de 1830 (les trois glorieuses), de 1848 ou de 1871 (la Commune de Paris) participent de ces nouvelles conquêtes. Cette incessante bataille pour le droit au bonheur se poursuit de nos jours.
Les luttes sont quotidiennes. Depuis la discussion serrée qui va régler un conflit entre un jeune et un adulte jusqu'aux actions de tout un peuple pour sortir de la famine : tout bouge !
C'est ainsi qu'une commission voit le jour à l'ONU (Organisation des Nations Unies) en 1978. Elle va plancher sur une déclaration solennelle concernant les droits de l'enfant.
Il faudra attendre 11 ans pour que la convention internationale des droits de l'enfant voit enfin le jour le 20 novembre 1989 !
A ce jour 192 pays ont ratifié cette Convention les obligeant ainsi à mettre leurs lois en conformité avec ce texte. C'est la convention la plus ratifiée de toute l'histoire. Il est intéressant de noter que les États Unis ne l'avaient pas signée car elle interdit la peine de mort pour les mineurs. Les États Unis ont aboli la peine de mort pour les mineurs en janvier 2005 mais, à ce jour, n'ont toujours pas ratifié la convention.
(d'après "Le grand livre des droits de l'enfant" de Alain SERRES - Editions Rue du Monde)
"Children Day" is celebrated on various days in many places around the world, in particular to honor children. Major global variants include a Universal Children's Day on November 20, by United Nations recommendation. Children's Day is often celebrated on other days as well
International Children's Day
The World Conference for the Well-being of Children in Geneva, Switzerland proclaimed June 1 to be International Children's Day in 1925. It is usually marked with speeches on children's rights and wellbeing, children TV programs, parties, various actions involving or dedicated to children, families going out, etc.
Universal Children's Day
Universal Children's Day takes place on November 20 annually. First proclaimed by the United Nations General Assembly in 1954, it was established to encourage all countries to institute a day, firstly to promote mutual exchange and understanding among children and secondly to initiate action to benefit and promote the welfare of the world's children. It was also chosen as the day to celebrate childhood. Universal Children's Day is preceded by International Men's Day on November 19 creating a 48 hour celebration of men and children respectively during which time the positive roles men play in children's lives are recognized.
The holiday was first celebrated worldwide in October 1953, under the sponsorship of International Union for Child Welfare in Geneva. The idea of a Universal Children's Day was adopted by the United Nations General Assembly in 1954.
November 20 is also the anniversary of the day when the United Nations General Assembly adopted the [Declaration of the Rights of the Child] in 1959. The Convention on the Rights of the Child was then signed on the same day in 1989, which has since been ratified by 191 states.
Thailand
Thailand National Children's Day (Thai: วันเด็กแห่งชาติ) is celebrated on the second Saturday in January. Known as “Wan Dek” in Thailand, Children’s Day is celebrated to give children the opportunity to have fun and to create awareness about their significant role towards the development of the country.
Usually, His Majesty the King gives advice addressing the children while the Supreme Monarch Patriarch of Thailand gives a moral teaching. The Prime Minister also usually gives each Children's Day a theme and a slogan.
Many Government offices are open to children and their family; this includes the Government House, the Parliament House Complex and various Military installations. These events may include a guided tour and an exhibition. A notable example is the guided tour at the Government House, where children have an opportunity to view the Prime Minister's office and sit at the bureau. The Royal Thai Air Force usually invites children to go and explore the aircraft and the Bangkok Bank distributes stationery, such as pens, pencils and books to every child that enters the bank as a community service. Many organizations from both government and commercial sectors have celebration activities for children. Children can enter zoos or ride buses for free.
There is a Thai saying that states, "Children are the future of the nation, if the children are intelligent, the country will be prosperous."
วันเด็กแห่งชาติ เป็นวันสำคัญในประเทศไทยตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่มิได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป (วันจันทร์) มีการให้ คำขวัญวันเด็ก ทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
ประวัติ
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
คำขวัญวันเด็ก
คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ปี นายกรัฐมนตรี คำขวัญ
พ.ศ. 2499
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม
พ.ศ. 2502
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ. 2503
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ. 2504
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ. 2505
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ. 2506
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด
พ.ศ. 2507
จอมพลถนอม กิตติขจร
ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510
จอมพลถนอม กิตติขจร อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511
จอมพลถนอม กิตติขจร ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512
จอมพลถนอม กิตติขจร รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514
จอมพลถนอม กิตติขจร ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515
จอมพลถนอม กิตติขจร เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2517
สัญญา ธรรมศักดิ์
สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518
สัญญา ธรรมศักดิ์ เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง
พ.ศ. 2522
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2530
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2531
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2532
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535
อานันท์ ปันยารชุน
สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536
ชวน หลีกภัย
ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537
ชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538
ชวน หลีกภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539
บรรหาร ศิลปอาชา
มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541
ชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542
นายชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543
ชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544
ชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ. 2550
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2551
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2552
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
พ.ศ. 2553
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2554
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ
พ.ศ. 2555
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี
มาอ่านประวัติวันเด็กกันดีกว่า
Journée nationale de l’enfant
Des droits de l'homme aux droits de l'enfant
Le mot enfant nous vient du latin "infans" qui signifie : "celui qui ne parle pas." On voit déjà fidèlement se refléter dans cette origine du mot une conception bien particulière de l'enfant : "soit sage et tais toi !"
Ainsi les pères gaulois, avaient droit de vie et de mort sur les enfants.
Les lois romaines autorisaient les hommes à accepter ou refuser un enfant à sa naissance.
Ce sont les philosophes du XVIIIe siècle qui fondèrent notre réflexion actuelle de l'éducation et l'épanouissement de chacun.
Arrive alors la Révolution Française avec l'abolition des privilèges (nuit du 4 août 1789) et surtout l'adoption, le 26 août de la Déclaration des droits de l'homme et du citoyen.
En ce qui concerne les droits des enfants, la Révolution laisse aussi une trace indélébile. Les relations parents/enfants évolue et la mère y prend toute sa place. En 1793 l'enseignement primaire devient obligatoire et gratuit.
Des reculs auront lieu et il faudra attendre le XIXe siècle pour obtenir de nouvelles conquêtes. Ainsi les soulèvements de 1830 (les trois glorieuses), de 1848 ou de 1871 (la Commune de Paris) participent de ces nouvelles conquêtes. Cette incessante bataille pour le droit au bonheur se poursuit de nos jours.
Les luttes sont quotidiennes. Depuis la discussion serrée qui va régler un conflit entre un jeune et un adulte jusqu'aux actions de tout un peuple pour sortir de la famine : tout bouge !
C'est ainsi qu'une commission voit le jour à l'ONU (Organisation des Nations Unies) en 1978. Elle va plancher sur une déclaration solennelle concernant les droits de l'enfant.
Il faudra attendre 11 ans pour que la convention internationale des droits de l'enfant voit enfin le jour le 20 novembre 1989 !
A ce jour 192 pays ont ratifié cette Convention les obligeant ainsi à mettre leurs lois en conformité avec ce texte. C'est la convention la plus ratifiée de toute l'histoire. Il est intéressant de noter que les États Unis ne l'avaient pas signée car elle interdit la peine de mort pour les mineurs. Les États Unis ont aboli la peine de mort pour les mineurs en janvier 2005 mais, à ce jour, n'ont toujours pas ratifié la convention.
(d'après "Le grand livre des droits de l'enfant" de Alain SERRES - Editions Rue du Monde)
"Children Day" is celebrated on various days in many places around the world, in particular to honor children. Major global variants include a Universal Children's Day on November 20, by United Nations recommendation. Children's Day is often celebrated on other days as well
International Children's Day
The World Conference for the Well-being of Children in Geneva, Switzerland proclaimed June 1 to be International Children's Day in 1925. It is usually marked with speeches on children's rights and wellbeing, children TV programs, parties, various actions involving or dedicated to children, families going out, etc.
Universal Children's Day
Universal Children's Day takes place on November 20 annually. First proclaimed by the United Nations General Assembly in 1954, it was established to encourage all countries to institute a day, firstly to promote mutual exchange and understanding among children and secondly to initiate action to benefit and promote the welfare of the world's children. It was also chosen as the day to celebrate childhood. Universal Children's Day is preceded by International Men's Day on November 19 creating a 48 hour celebration of men and children respectively during which time the positive roles men play in children's lives are recognized.
The holiday was first celebrated worldwide in October 1953, under the sponsorship of International Union for Child Welfare in Geneva. The idea of a Universal Children's Day was adopted by the United Nations General Assembly in 1954.
November 20 is also the anniversary of the day when the United Nations General Assembly adopted the [Declaration of the Rights of the Child] in 1959. The Convention on the Rights of the Child was then signed on the same day in 1989, which has since been ratified by 191 states.
Thailand
Thailand National Children's Day (Thai: วันเด็กแห่งชาติ) is celebrated on the second Saturday in January. Known as “Wan Dek” in Thailand, Children’s Day is celebrated to give children the opportunity to have fun and to create awareness about their significant role towards the development of the country.
Usually, His Majesty the King gives advice addressing the children while the Supreme Monarch Patriarch of Thailand gives a moral teaching. The Prime Minister also usually gives each Children's Day a theme and a slogan.
Many Government offices are open to children and their family; this includes the Government House, the Parliament House Complex and various Military installations. These events may include a guided tour and an exhibition. A notable example is the guided tour at the Government House, where children have an opportunity to view the Prime Minister's office and sit at the bureau. The Royal Thai Air Force usually invites children to go and explore the aircraft and the Bangkok Bank distributes stationery, such as pens, pencils and books to every child that enters the bank as a community service. Many organizations from both government and commercial sectors have celebration activities for children. Children can enter zoos or ride buses for free.
There is a Thai saying that states, "Children are the future of the nation, if the children are intelligent, the country will be prosperous."
วันเด็กแห่งชาติ เป็นวันสำคัญในประเทศไทยตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่มิได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป (วันจันทร์) มีการให้ คำขวัญวันเด็ก ทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
ประวัติ
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
คำขวัญวันเด็ก
คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ปี นายกรัฐมนตรี คำขวัญ
พ.ศ. 2499
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม
พ.ศ. 2502
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ. 2503
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ. 2504
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ. 2505
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ. 2506
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด
พ.ศ. 2507
จอมพลถนอม กิตติขจร
ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510
จอมพลถนอม กิตติขจร อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511
จอมพลถนอม กิตติขจร ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512
จอมพลถนอม กิตติขจร รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514
จอมพลถนอม กิตติขจร ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515
จอมพลถนอม กิตติขจร เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516
จอมพลถนอม กิตติขจร เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2517
สัญญา ธรรมศักดิ์
สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518
สัญญา ธรรมศักดิ์ เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง
พ.ศ. 2522
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2530
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2531
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2532
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535
อานันท์ ปันยารชุน
สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536
ชวน หลีกภัย
ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537
ชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538
ชวน หลีกภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539
บรรหาร ศิลปอาชา
มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541
ชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542
นายชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543
ชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544
ชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ. 2550
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2551
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2552
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
พ.ศ. 2553
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2554
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ
พ.ศ. 2555
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี
Monday, January 2, 2012
BONNE ANNÉE 2012
สวัสดีปีใหม่ 2555 หรือ BONNE ANNÉE 2012
มาดามได้เพิ่ม website ให้นักเรียนได้เลือกเข้าศึกษาในห้องคอม เพราะว่านักเรียนเข้าศึกษาเพียง websiteเดียว
จะเข้าได้ช้า รอนาน
ดังนั้นนักเรียนสามารถเข้า website ได้ดังนี้
http://madame-salut.blogspot.com/
http://madame-ruchiratk.blogspot.com/
http://ruchiratk.blogspot.com/
http://ruchira-madame.blogspot.com/
http://madameruchirasaengkrod.blogspot.com/
http://www.francais-thammasatklongluang.net/francais/
อ่านมาก ๆ ทำงานมาก ๆ
Au revoir.
สัญญลักษณ์ของฝรั่งเศส
สัญลักษณ์ของฝรั่งเศส (Symboles français)
เพลงชาติ (l’hymne nationale) ลา มาร์เซยแยส ( La Marseillaise)
เป็นเพลงชาติของฝรั่งเศสมาตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 1795 แต่เดิมมีชื่อว่า Chant de guerre pour l’armée du Rhin ซึ่งประพันธ์ขึ้นที่เมืองสตราสบูร์กเมื่อปี 1792 โดย Rouget de Lisle
คำขวัญ (la devise) ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสคือ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ
(Liberté, Égalité, Fraternité)
ธงชาติ (le drapeau) แต่เดิมสีน้ำเงินแดงเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังรักษากรุงปารีส
ต่อมาในปี 1789 นายพลลาฟาแยตต์เพิ่มสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์
นับแต่นั้นมาสีน้ำเงินขาวแดงจึงเป็นสีของธงชาติและกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ไก่ตัวผู้ (le coq gaulois) รูปไก่ตัวผู้ปรากฏบนเหรียญกษาปณ์ของชาวโกลัว (les Gaulois)
ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศส ในขณะที่ยังเรียกว่า ลา โกล (la Gaule) และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์
เพราะการเล่นคำ โดย Gaulois ออกเสียงเป็นภาษาลาตินว่า “Gallus” ซึ่งแปลว่า “ไก่ตัวผู้”
ลา มารีอานน์ (la Marianne) สัญลักษณ์รูปผู้หญิงครึ่งตัวบนสวมหมวกฟรีเจียน (le bonnet phrygien)
ความเป็นมาไม่เป็นที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ชื่อ Marie และ Anne เป็นชื่อที่แพร่หลายมากในศตวรรษที่ 18
ซึ่งอยู่ในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส Marie-Anne จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของคณะก่อการปฏิวัติ
ต่อมาได้กลายเป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกสาธารณรัฐฝรั่งเศส ปัจจุบันนี้ la Marianne เ ป็นเครื่องหมายประจำที่ทำการเทศบาล
ทุกแห่งในฝรั่งเศส เป็นรูปที่ประดับบนดวงตราไปรษณียากร และ บนเหรียญยูโรของฝรั่งเศส (เหรียญ 1, 2 และ 5 เซนส์)
หมวกฟรีเจียน (le bonnet phrygien) เป็นเครื่องหมายของอิสรภาพ เพราะในสมัยโบราณ
ผู้ที่สวมหมวกนี้เป็นพวกทาสที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย กลุ่มที่ทำการปฏิวัตินิยมสวมหมวกฟรีเจียนสีแดง
ติดเครื่องหมายวงกลมสีน้ำเงิน-ขาวด้านข้าง หมวกนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติไปด้วย
ประวัติวันชาติฝรั่งเศส Le 14 Juillet
วันชาติฝรั่งเศส
ย้อนไปเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 กองทัพทหาร และประชาชนได้พร้อมใจกันบุกคุกบาสติลย์ (Bastilles) เพื่อปลดปล่อย นักโทษ การเมือง ให้เป็นอิสระ อันคุกบาสติลย์นี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของการบีบบังคับและความอยุติธรรม ซึ่งเกิดจากการปกครอง โดยกษัตริย์ ที่ไร้ ทศพิธราชธรรม จึงประกาศวันที่ได้รับการปลดปล่อยนี้ให้เป็น..วันชาติของฝรั่งเศส (La Fête Nationale)
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ประเทศฝรั่งเศสมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่ง ราชวงศ์บูรบอง (Bourbon)บ้านเมืองอยู่ในระยะของสงครามอังกฤษ เพื่อแย่งชิงอาณานิคม ทำให้การเงินการคลังของประเทศล้มละลาย ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขาดแคลน แต่ในทางกลับกัน ราชสำนักกลับมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย ชนชั้นขุนนางได้รับการยกเว้น ภาษี ส่วนประชาชน ที่มีความยากจนอยู่แล้วต้องถูกทางการรีดภาษีอย่างหนัก ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก
ในตอนนั้น ชนชั้นกลางมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีการศึกษาดี ร่ำรวย แต่ไม่มี สิทธิในทาง การเมือง การปกครอง เทียบเท่าชนชั้นพระ และชนชั้นขุนนาง จึงต้องการเปลี่ยนแปลงระบบเก่า และได้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยเข้าร่วม การปฏิวัติในอเมริกา ซึ่งมีสาระสำคัญในทางทฤษฎีว่าด้วยสิทธิิ ตามธรรมชาติิของมนุษย์ และสองนักปราชญ์แห่งยุคคือ วอลแตร์ กับ มองเตสกิเออ นำทฤษฎีดังกล่าวมาสอนประชาชน ในขณะเดียวกัน มาควิส เดอ ลา ฟาแยตต์ (Marquis de la Fayett) ซึ่งทำสงคราม ช่วยเหลือ ชาวอาณานิคม ในอเมริกาต่อต้านอังกฤษจนได้ชัยชนะ ก็นำความคิดนี้มาเผยแพร่ จึงทำให้ ประชาชนชาวฝรั่งเศส ดิ้นรนเรียกร้อง ให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพ
ยิ่งขึ้น
เดือน มิถุนายน ค.ศ. 1789 ประชาชนซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ได้บุกเข้าปล้นสะดมบ้านของพวกขุนนาง กรุงปารีสมีแต่่ ความวุ่นวาย ชนชั้นกลางได้รวมตัวกันก่อตั้งกองทหารรักษาการณ์แห่งชาติเข้าร่วม กับประชาชนทำลายคุกบาสติลย์ ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการปลดแอกอำนาจการปกครองโดยกษัตริย์ นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ยิ่ง และสำคัญของโลก
ผล กระทบของเหตุการณ์ได้แพร่ไปสู่ประเทศอื่นๆในยุโรป โดยเฉพาะในรัสเซีย กล่าวคือระยะแรกของการปฏิวัติ ประมาณปี ค.ศ. 1791ได้มีการ ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ กษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย และรัฐสภา ก็มีเพียงสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติ ชนชั้นกรรมาชีพมีบทบาทในการปกครอง แต่ด้วยความเกรงกลัวว่า การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ์จะแพร่ขยายไปทั่วยุโรป ทำให้ออสเตรียและปรัสเซียยกทัพรุกฝรั่งเศสแต่ไม่สำเร็จ ทางสภานิติบัญญัติจึงยกเลิกระบบ ราชาธิปไตยและประกาศเป็นประเทศสาธารณรัฐ เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1792 และตั้งสภาใหม่ขึ้นมา และในปี 1793 ก็ได้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์และพระนางมารี อังตัวเนต์ด้วย การประหารชีวิตด้วยเครื่องประหาร กิโยตีน แม้ผลการปฏิวัติจะสำเร็จ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีฐานะยากจนเหมือนเดิม รัฐบาลยังมุ่งแต่กอบโกยผลประโยชน์กัน จนมีบุคคลคนหนึ่งแสวงหาอำนาจโดย เป็นเครื่องมือ ให้ประชาชนเลื่อมใส และยึดอำนาจการปกครองมาเป็นของตน บุคคลผู้นี้คือ นโปเลียน โบนาปาร์ต
นโปเลียนได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาติเพราะอาศัยความล้มเหลวของรัฐบาลสถาปนาตนเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพ ออก ไปรบชนะออสเตรเลียในปี ค.ศ.1797 ทั้งยังแพร่ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรป จนปี ค.ศ. 1804 ได้สถาปนาตนเอง ขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียน และพยายาม ที่จะครอบครอง รัซเซียให้ได้ จึงทำสงคราม กับรัสเซีย และเป็นครั้งแรก ที่นโปเลียนแพ้ ทำให้ชนชาติต่างๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเกิดกำลังใจที่จะต่อต้าน เมื่อนโปเลียน ได้ถูกเนรเทศไปยังเกาะอัลบา พระเจ้าหลุยส์ได้กลับมาครองราชย์ใหม่แต่เพียงระยะสั้นๆ ในปี ค.ศ.1815 นโปเลียนหนีกลับมาได้ อีกครั้งและประกาศตนเป็นจักรพรรดิ รวบรวมกำลังทหารเข้าต่อสู้กับ ฝ่ายพันธมิตร ต่างๆ เกิดสงครามวอเตอร์ลูขึ้น แต่ฝรั่งเศสก็รบแพ้ ทำให้ นโปเลียนถูกส่งขังที่เกาะเซนต์เฮเลนา นับเป็นการสิ้นสุดการครอง บัลลังก์เพียง 100 วันของนโปเลียน แล้วเขาก็เสียชีวิตบนเกาะนี้
ในปี ค.ศ. 1821 พระ เจ้าหลุยส์ที่ 18 กลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง แต่พระอนุชาคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 ทรงพยายาม ฟื้นฟูระบบเก่าขึ้นมาอีก จึงมีการปฏิวัติขึ้นอีก พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปซึ่งดำรงตำแหน่งกษัตริย์อยู่ ได้ถูกเนรเทศออกนอก ประเทศ และต่อมาก็ได้มีการสถาปนา สาธารณรัฐขึ้น เป็นครั้งที่ 2 โดยมีหลุยส์นโปเลียนทำการรัฐประหารตั้งตัวเองขึ้น เป็นจักรพรรดิ ซึ่งพระองค์ทำให้ชาติฝรั่งเศสมีความเข้มแข็ง มั่นคงขึ้น สภาพทุกอย่าง ในประเทศดีขึ้น และมีการขยาย อาณานิคมไปยังประเทศต่างๆ
ในปี ค.ศ. 1860 พระเจ้าหลุยส์นโปเลียน สถาปนาจักรพรรดิฝรั่งเศสในเม็กซิโกแต่ไม่สำเร็จ เพราะ ถูกอเมริกา ขัดขวางไว้ และยังต้องทำ สงคราม กับปรัสเซียอีก ฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายแพ้อีกครั้งและต้องเสียดินแดนในแคว้นอัลซาสให้แก่ ปรัสเซีย อีกด้วย ซึ่งทำให้พระองค์ต้องสละราชบัลลังก์
ใน ปี ค.ศ.1875 มีการสถาปนาฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 3 ยุคของนโปเลียนสิ้นสุดลง ทำให้ประเทศฝรั่งเศสอ่อนแอ เป็นอย่างมาก ต้องเสียดินแดน ให้ผู้รุกราน ประจวบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เป็นเหตุให้ฝรั่งเศส ยิ่งบอบช้ำ ขึ้นไปอีก ภายหลัง ได้มี ีการเซ็นสัญญาสงบศึกที่ Vinchy แล้วฝรั่งเศสก็ประกาศตัวเป็นอิสรภาพ โดยความช่วยเหลือ จากฝ่ายพันธมิตรต่างๆ ในเดือนกันยายนปี 1944 นายพลชาลส์เดอโกล์ ก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ในปี ค.ศ.1946 ซึ่งเป็นยุคของสาธารณรัฐที่ 4
ระหว่างปี ค.ศ. 1946-1958 นายพลเดอโกล์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง ระหว่างที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมวิกฤติการณ์ใน แอลจีเรีย เขาทำให้ ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีสังคม เปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และพัฒนาฝรั่งเศสดีขึ้นในหลายๆด้าน ทำให้เป็นที่ ยอมรับจากผู้คนที่นิยมในตัวเขา และให้สถาปนาฝรั่งเศส เป็นสาธารณรัฐ เป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958-ปัจจุบัน ต่อมามีการชุมนุม ประท้วง รัฐบาลในกรุงปารีส ทำให้รัฐบาล ต้องยอมรับมติประชาชนที่ว่าด้วยการปฏิรูป กฎหมาย รัฐธรรมนูญนายพลเดอโกล์จึงขอลาออกจากตำแหน่ง
ในวันที่ 10 พ.ค. ปี ค.ศ. 1981 ฝรั่งเศสได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง คือประธานาธิบดีฟรังซัวส์ มิตแตร์รองด์ ผู้สมัครจากพรรค สังคมนิยม จึงบริหารงานด้วยระบอบสังคมนิยม และอยู่ในต่ำแหน่ง 14 ปีด้วยกัน จนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่ึงทำให้ นายฌาคส์ ชีรัค ผู้สมัครจาก พรรคสังคมนิยมเช่นเดียวกันเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เข้ารับการเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1995
สำหรับความสัมพันธ์ของไทยและฝรั่งเศสนั้น มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของ สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช แต่ก็ต้องสิ้นสุดลง เพราะ การเมือง การปกครองของฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย .. ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ราบรื่น เพราะไทยพอใจทำการค้า กับจีน และมลายูมากกว่าประเทศ ทางยุโรป
จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่จุดประสงค์ คือต้องการที่จะให้ไทยเป็นเมืองขึ้น แต่ด้วย พระปรีชาสามารถของพระองค์ทำให้รอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้
ปัจจุบันประเทศไทย ก็ได้รับวัฒนธรรมต่างๆของฝรั่งเศสเข้ามา ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง.วันชาติฝรั่งเศส
ย้อนไปเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 กองทัพทหาร และประชาชนได้พร้อมใจกันบุกคุกบาสติลย์ (Bastilles) เพื่อปลดปล่อย นักโทษ การเมือง ให้เป็นอิสระ อันคุกบาสติลย์นี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของการบีบบังคับและความอยุติธรรม ซึ่งเกิดจากการปกครอง โดยกษัตริย์ ที่ไร้ ทศพิธราชธรรม จึงประกาศวันที่ได้รับการปลดปล่อยนี้ให้เป็น..วันชาติของฝรั่งเศส (La Fête Nationale)
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ประเทศฝรั่งเศสมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่ง ราชวงศ์บูรบอง (Bourbon)บ้านเมืองอยู่ในระยะของสงครามอังกฤษ เพื่อแย่งชิงอาณานิคม ทำให้การเงินการคลังของประเทศล้มละลาย ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขาดแคลน แต่ในทางกลับกัน ราชสำนักกลับมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย ชนชั้นขุนนางได้รับการยกเว้น ภาษี ส่วนประชาชน ที่มีความยากจนอยู่แล้วต้องถูกทางการรีดภาษีอย่างหนัก ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก
ในตอนนั้น ชนชั้นกลางมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีการศึกษาดี ร่ำรวย แต่ไม่มี สิทธิในทาง การเมือง การปกครอง เทียบเท่าชนชั้นพระ และชนชั้นขุนนาง จึงต้องการเปลี่ยนแปลงระบบเก่า และได้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยเข้าร่วม การปฏิวัติในอเมริกา ซึ่งมีสาระสำคัญในทางทฤษฎีว่าด้วยสิทธิิ ตามธรรมชาติิของมนุษย์ และสองนักปราชญ์แห่งยุคคือ วอลแตร์ กับ มองเตสกิเออ นำทฤษฎีดังกล่าวมาสอนประชาชน ในขณะเดียวกัน มาควิส เดอ ลา ฟาแยตต์ (Marquis de la Fayett) ซึ่งทำสงคราม ช่วยเหลือ ชาวอาณานิคม ในอเมริกาต่อต้านอังกฤษจนได้ชัยชนะ ก็นำความคิดนี้มาเผยแพร่ จึงทำให้ ประชาชนชาวฝรั่งเศส ดิ้นรนเรียกร้อง ให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพ
ยิ่งขึ้น
เดือน มิถุนายน ค.ศ. 1789 ประชาชนซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ได้บุกเข้าปล้นสะดมบ้านของพวกขุนนาง กรุงปารีสมีแต่่ ความวุ่นวาย ชนชั้นกลางได้รวมตัวกันก่อตั้งกองทหารรักษาการณ์แห่งชาติเข้าร่วม กับประชาชนทำลายคุกบาสติลย์ ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการปลดแอกอำนาจการปกครองโดยกษัตริย์ นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ยิ่ง และสำคัญของโลก
ผล กระทบของเหตุการณ์ได้แพร่ไปสู่ประเทศอื่นๆในยุโรป โดยเฉพาะในรัสเซีย กล่าวคือระยะแรกของการปฏิวัติ ประมาณปี ค.ศ. 1791ได้มีการ ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ กษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย และรัฐสภา ก็มีเพียงสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติ ชนชั้นกรรมาชีพมีบทบาทในการปกครอง แต่ด้วยความเกรงกลัวว่า การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ์จะแพร่ขยายไปทั่วยุโรป ทำให้ออสเตรียและปรัสเซียยกทัพรุกฝรั่งเศสแต่ไม่สำเร็จ ทางสภานิติบัญญัติจึงยกเลิกระบบ ราชาธิปไตยและประกาศเป็นประเทศสาธารณรัฐ เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1792 และตั้งสภาใหม่ขึ้นมา และในปี 1793 ก็ได้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์และพระนางมารี อังตัวเนต์ด้วย การประหารชีวิตด้วยเครื่องประหาร กิโยตีน แม้ผลการปฏิวัติจะสำเร็จ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีฐานะยากจนเหมือนเดิม รัฐบาลยังมุ่งแต่กอบโกยผลประโยชน์กัน จนมีบุคคลคนหนึ่งแสวงหาอำนาจโดย เป็นเครื่องมือ ให้ประชาชนเลื่อมใส และยึดอำนาจการปกครองมาเป็นของตน บุคคลผู้นี้คือ นโปเลียน โบนาปาร์ต
นโปเลียนได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาติเพราะอาศัยความล้มเหลวของรัฐบาลสถาปนาตนเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพ ออก ไปรบชนะออสเตรเลียในปี ค.ศ.1797 ทั้งยังแพร่ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรป จนปี ค.ศ. 1804 ได้สถาปนาตนเอง ขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียน และพยายาม ที่จะครอบครอง รัซเซียให้ได้ จึงทำสงคราม กับรัสเซีย และเป็นครั้งแรก ที่นโปเลียนแพ้ ทำให้ชนชาติต่างๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเกิดกำลังใจที่จะต่อต้าน เมื่อนโปเลียน ได้ถูกเนรเทศไปยังเกาะอัลบา พระเจ้าหลุยส์ได้กลับมาครองราชย์ใหม่แต่เพียงระยะสั้นๆ ในปี ค.ศ.1815 นโปเลียนหนีกลับมาได้ อีกครั้งและประกาศตนเป็นจักรพรรดิ รวบรวมกำลังทหารเข้าต่อสู้กับ ฝ่ายพันธมิตร ต่างๆ เกิดสงครามวอเตอร์ลูขึ้น แต่ฝรั่งเศสก็รบแพ้ ทำให้ นโปเลียนถูกส่งขังที่เกาะเซนต์เฮเลนา นับเป็นการสิ้นสุดการครอง บัลลังก์เพียง 100 วันของนโปเลียน แล้วเขาก็เสียชีวิตบนเกาะนี้
ในปี ค.ศ. 1821 พระ เจ้าหลุยส์ที่ 18 กลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง แต่พระอนุชาคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 ทรงพยายาม ฟื้นฟูระบบเก่าขึ้นมาอีก จึงมีการปฏิวัติขึ้นอีก พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปซึ่งดำรงตำแหน่งกษัตริย์อยู่ ได้ถูกเนรเทศออกนอก ประเทศ และต่อมาก็ได้มีการสถาปนา สาธารณรัฐขึ้น เป็นครั้งที่ 2 โดยมีหลุยส์นโปเลียนทำการรัฐประหารตั้งตัวเองขึ้น เป็นจักรพรรดิ ซึ่งพระองค์ทำให้ชาติฝรั่งเศสมีความเข้มแข็ง มั่นคงขึ้น สภาพทุกอย่าง ในประเทศดีขึ้น และมีการขยาย อาณานิคมไปยังประเทศต่างๆ
ในปี ค.ศ. 1860 พระเจ้าหลุยส์นโปเลียน สถาปนาจักรพรรดิฝรั่งเศสในเม็กซิโกแต่ไม่สำเร็จ เพราะ ถูกอเมริกา ขัดขวางไว้ และยังต้องทำ สงคราม กับปรัสเซียอีก ฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายแพ้อีกครั้งและต้องเสียดินแดนในแคว้นอัลซาสให้แก่ ปรัสเซีย อีกด้วย ซึ่งทำให้พระองค์ต้องสละราชบัลลังก์
ใน ปี ค.ศ.1875 มีการสถาปนาฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 3 ยุคของนโปเลียนสิ้นสุดลง ทำให้ประเทศฝรั่งเศสอ่อนแอ เป็นอย่างมาก ต้องเสียดินแดน ให้ผู้รุกราน ประจวบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เป็นเหตุให้ฝรั่งเศส ยิ่งบอบช้ำ ขึ้นไปอีก ภายหลัง ได้มี ีการเซ็นสัญญาสงบศึกที่ Vinchy แล้วฝรั่งเศสก็ประกาศตัวเป็นอิสรภาพ โดยความช่วยเหลือ จากฝ่ายพันธมิตรต่างๆ ในเดือนกันยายนปี 1944 นายพลชาลส์เดอโกล์ ก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ในปี ค.ศ.1946 ซึ่งเป็นยุคของสาธารณรัฐที่ 4
ระหว่างปี ค.ศ. 1946-1958 นายพลเดอโกล์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง ระหว่างที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมวิกฤติการณ์ใน แอลจีเรีย เขาทำให้ ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีสังคม เปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และพัฒนาฝรั่งเศสดีขึ้นในหลายๆด้าน ทำให้เป็นที่ ยอมรับจากผู้คนที่นิยมในตัวเขา และให้สถาปนาฝรั่งเศส เป็นสาธารณรัฐ เป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958-ปัจจุบัน ต่อมามีการชุมนุม ประท้วง รัฐบาลในกรุงปารีส ทำให้รัฐบาล ต้องยอมรับมติประชาชนที่ว่าด้วยการปฏิรูป กฎหมาย รัฐธรรมนูญนายพลเดอโกล์จึงขอลาออกจากตำแหน่ง
ในวันที่ 10 พ.ค. ปี ค.ศ. 1981 ฝรั่งเศสได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง คือประธานาธิบดีฟรังซัวส์ มิตแตร์รองด์ ผู้สมัครจากพรรค สังคมนิยม จึงบริหารงานด้วยระบอบสังคมนิยม และอยู่ในต่ำแหน่ง 14 ปีด้วยกัน จนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่ึงทำให้ นายฌาคส์ ชีรัค ผู้สมัครจาก พรรคสังคมนิยมเช่นเดียวกันเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เข้ารับการเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1995
สำหรับความสัมพันธ์ของไทยและฝรั่งเศสนั้น มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของ สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช แต่ก็ต้องสิ้นสุดลง เพราะ การเมือง การปกครองของฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย .. ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ราบรื่น เพราะไทยพอใจทำการค้า กับจีน และมลายูมากกว่าประเทศ ทางยุโรป
จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่จุดประสงค์ คือต้องการที่จะให้ไทยเป็นเมืองขึ้น แต่ด้วย พระปรีชาสามารถของพระองค์ทำให้รอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้
ปัจจุบันประเทศไทย ก็ได้รับวัฒนธรรมต่างๆของฝรั่งเศสเข้ามา ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง.
สาระน่ารู้เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส
สาระทั่วไปเกี่ยวกับฝรั่งเศส
พื้นที่
ฝรั่งเศสมีพื้นที่ 550,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก (ประมาณเกือบหนึ่งในห้าของพื้นที่ของสหภาพยุโรป) อีกทั้งยังมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่กินอาณาบริเวณกว้างขวาง (เขตเศรษฐกิจจำเพาะมีพื้นที่ทั้งสิ้น 11 ล้านตารางกิโลเมตร)
ภูมิประเทศ
พื้นที่ประมาณสองในสามของประเทศฝรั่งเศสเป็นที่ราบ เทือกเขาที่สำคัญได้แก่ เทือกเขาแอล์ปซึ่งมียอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป คือ ยอดเขามงต์บลองก์ (Mont-Blanc) สูง 4,807 เมตร เทือกเขาปิเรเนส์ เทือกเขาจูรา เทือกเขาอาร์แดนส์ เทือกเขามาสซิฟ ซองทราลและเทือกเขาโวจช์ ประเทศฝรั่งเศสมีชายฝั่งทะเลอยู่ถึง 4 ด้าน คิดเป็นความยาวรวมทั้งสิ้น 5,500 กิโลเมตร (ทะเลเหนือ ช่องแคบอังกฤษ มหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
ภูมิอากาศ
มี 3 แบบคือ
• แบบชายฝั่งทะเลตะวันตก (บริเวณตะวันตกของประเทศ)
• แบบเมดิเตอร์เรเนียน (ทางตอนใต้ของประเทศ)
• แบบภาคพื้นทวีป (ทางตอนกลางและภาคตะวันออกของประเทศ)
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
• พื้นที่เกษตรกรรมและทำป่าไม้มีประมาณ 48 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็นร้อยละ 82 ของพื้นที่โดยรวมทั้งประเทศ (เฉพาะฝรั่งเศสส่วนภาคพื้นทวีป)
• พื้นที่ป่ามีประมาณร้อยละ 30 และนับว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหภาพยุโรปรองจากสวีเดนและฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี 1945 พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 และถ้าพูดถึงในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
• ฝรั่งเศสมีความแตกต่างไปจากประเทศอื่นๆในยุโรปเพราะมีพันธุ์ไม้มากถึง 136 ชนิด ในส่วนของสัตว์ใหญ่ก็เพิ่มจำนวนขึ้น ภายในช่วงระยะเวลา 20 ปี จำนวนของสัตว์ประเภทกวางเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า
ประเทศฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับมรดกทางธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จึงได้มีการจัดตั้ง- อุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง- ป่าสงวน 156 แห่ง- เขตรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ป่า 516 แห่ง- รวมทั้งประกาศให้พื้นที่อีก 429 แห่งเป็นเขตอนุรักษ์อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันอนุรักษ์ชายฝั่งทะเล- นอกจากนี้ยังมีอุทยานธรรมชาติตามภูมิภาคต่างๆ อีกกว่า 37 แห่งซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยละ 7 ของประเทศ
งบประมาณจำนวน 32 พันล้านยูโรได้รับการจัดสรรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อประชากรจะเท่ากับ 516 ยูโร ทั้งนี้ 3 ส่วน 4 ของเงินข้างต้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการบำบัดน้ำเสียและการจัดการของเสียต่างๆ
ในระดับนานาชาติ ฝรั่งเศสเป็นภาคีของสนธิสัญญาและอนุสัญญาทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ รวมทั้งอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและการแปรสภาพเป็นทะเลทราย
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.environnement.gouv.fr
ประชากร
ประชากรจำนวน 62.2 ล้านคน (ปี 2005) ความหนาแน่นของประชากร 96 คนต่อตารางกิโลเมตร เมืองมีประชากรมากกว่า 100,000 คนมีถึง 57 เมืองเมืองที่มีประชากรมากที่สุดห้าอันดับแรกคือ
ลำดับ เมือง
จำนวนประชากร
1 ปารีส 9.6 ล้านคน
2ลีลล์1.7 ล้านคน
3ลียง1.4 ล้านคน
4มาร์เซยย์1.3 ล้านคน
5ตูลูส1 ล้านคน
การแบ่งส่วนการปกครอง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสประกอบด้วย
• ส่วนที่อยู่บนภาคพื้นทวีป (แบ่งเป็น 22 มณฑลและ 96 จังหวัด)
• จังหวัดโพ้นทะเล (DOM) 4 จังหวัดได้แก่ กัวเดอลูป มาร์ตินิก เฟรนช์เกียนาและลา เรอูนียง
• ดินแดนโพ้นทะเล (TOM) 5 แห่งได้แก่ เฟรนช์ โปลิเนเซีย, วาลลิสและฟูตูนา, มายอตต์, แซงต์-ปิแอร์-เอต์-มิเกอล็ง, เฟรนช์ เซาเทิร์นและแอนตาร์กติก แทร์ริทอร์รีส์
• ดินแดนที่มีสถานภาพพิเศษอีก 1 แห่งคือ นิวแคลิโดเนีย
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.outre-mer.gouv.fr
จนกระทั่งถึงวันที่ 1 มกราคม 2005 ประชากรของฝรั่งเศสมีทั้งสิ้น 62 ล้านคนซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมดของสหภาพยุโรป ในปี 2004 ชายฝรั่งเศสมีอายุเฉลี่ย 76.7 ปี และหญิงมีอายุเฉลี่ย 83.8 ปี ตั้งแต่ปี 2004 เพศชายมีอายุยืนยาวขึ้น 2 ปี และเพศผู้หญิงมีอายุยืนยาวขึ้น 1 ปี
ประชากร
สถิติทางด้านประชากรศาสตร์
จำนวนเด็กที่เกิด 797,400 คนอัตราเจริญพันธุ์เท่ากับ เด็ก 1.91 คนต่อหญิง 1 คนอัตราการเกิด
ร้อยละ 12.8
จำนวนคนตาย 518,000 คนอัตราการตาย ร้อยละ 8,3
จำนวนคู่สมรส 266,300 คู่นับแต่ต้นทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา จำนวนคู่สมรสได้ลดน้อยลง ในขณะที่จำนวนของผู้ที่ใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่มีการสมรสกลับเพิ่มจาก 1.5 ล้านคู่เป็น 2.4 ล้านคู่ในปี 1990 จำนวนคู่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่ได้สมรสคิดเป็น 1 ใน 6 ของคู่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันทั้งหมด (ทั้งที่สมรสและไม่ได้สมรส)
การหย่าร้าง 127,643 คู่
ลักษณะทางครัวเรือน
คู่สามีภรรยาพร้อมบุตรคิดเป็นร้อยละ 32ครัวเรือนที่มีประชากรอยู่คนเดียวคิดเป็นร้อยละ 31.4คู่สามีภรรยาที่ยังไม่มีบุตรคิดเป็นร้อยละ 27.6ครอบครัวที่มีเพียงบิดาหรือมารดาเลี้ยงดูบุตรตามลำพังคิดเป็นร้อยละ 7.1ครัวเรือนที่มิได้จัดอยู่ในประเภทข้างต้นคิดเป็นร้อยละ 1.9
ประชากรตามหมวดอายุ
อายุระหว่าง 20-59 ปีร้อยละ 54.3อายุต่ำกว่า 20 ปีร้อยละ 25.1อายุ 60 ปีและมากกว่าร้อยละ 20.6อายุเฉลี่ยของประชากร 39.2 ปี
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.insee.fr
ศาสนา
สาธารณรัฐฝรั่งเศสมิใช่รัฐทางศาสนา ประชากรทุกคนสามารถเลือกนับถือศาสนาใดก็ได้อย่างเสรี
การศึกษา
ในปี 2004 ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเพิ่มสูงขึ้นถึง 111.3 พันล้านยูโร เท่ากับร้อยละ 7.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และร้อยละ 37.8 ของงบประมาณทั้งหมด หากคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อประชากรจะเท่ากับ 1,810 ยูโร หรือ 6,600 ยูโรต่อนักเรียน 1 คน
8 ระดับอนุบาล ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
นักเรียน12,133,000คน
ครูผู้สอน894,000คน
โรงเรียน68,590แห่ง
อัตราส่วนครูต่อนักเรียนเท่ากับ 1/13.6อัตราการสอบผ่านระดับมัธยมศึกษา (ปี 2004) ร้อยละ 79.7
8 ระดับอุดมศึกษา นิสิต นักศึกษา2,268,251คน
อาจารย์88,000คน
มหาวิทยาลัย83แห่ง
สถาบันศึกษาชั้นสูง3,600แห่ง
อัตราส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษาเท่ากับ 1 /25.7
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.education.gouv.fr
ประชากรในวัยทำงาน
ฝรั่งเศสมีประชากรในวัยทำงานประมาณ 27.5 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นผู้ที่มีงานทำ 24.7 ล้านคนและผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการหางาน 2.73 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 9.9 ของประชากรวัยทำงาน (มกราคม 2004) และร้อยละ 74.9 เป็นประชากรวัยทำงานเพศชาย สำหรับเพศหญิงร้อยละ 63.8
สถานภาพการทำงาน
ร้อยละ 28.8ลูกจ้างจำนวน 7,809,000 คน
ร้อยละ 24.8กรรมกรจำนวน 7,062,000 คน
ร้อยละ 23.3พนักงานระดับกลางจำนวน 5,763,000 คน
ร้อยละ 14.4ผู้บริหารและนักวิชาการจำนวน 3,700,000 คน
ร้อยละ 5.9ช่างฝีมือ พ่อค้า เจ้าของกิจการจำนวน 1,500,000 คน
ร้อยละ 2.8เกษตรกรและคนงานในภาคการเกษตรจำนวน 642,000 คน
มาตรฐานการครองชีพ
รายได้เฉลี่ยสุทธิต่อปีเท่ากับ 21,735 ยูโรเงินออมเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 1,900 ยูโร คิดเป็นร้อยละ 15.4 ของรายได้สุทธิ
ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน
ร้อยละ 24.5ที่อยู่อาศัย ไฟฟ้าและเครื่องทำความร้อน
ร้อยละ 17.7อาหาร เครื่องดื่มและยาสูบ
ร้อยละ 17.6ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะและค่าบริการสื่อสาร
ร้อยละ 9.4ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้เวลาว่างและกิจกรรมทางวัฒนธรรม
ร้อยละ 5.9อุปกรณ์เครื่องใช้และค่าทำนุบำรุงที่อยู่อาศัย
ร้อยละ 5เครื่องนุ่งห่ม
ร้อยละ 3.4ค่ารักษาพยาบาลและยา
ร้อยละ 16.5ค่าใช้จ่ายหมวดบริการและเบ็ดเตล็ด (ภัตตาคาร เดินทางท่องเที่ยว …)
รายได้ต่อเดือน
รายได้ขั้นต่ำต่อเดือน (ยังไม่ได้หักภาษี) ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2005 เท่ากับ 1,090.48 ยูโร (ทำงาน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) หรือเท่ากับ 7.19 ยูโรต่อชั่วโมง
รายได้เฉลี่ยต่อปีของครัวเรือน
อาชีพอิสระ70,126 ยูโร
ผู้บริหาร42,928 ยูโร
ช่างเทคนิคและผู้ควบคุมงาน22,143 ยูโร
เกษตรกรและคนงานในภาคการเกษตร21,114 ยูโร
อาชีพอื่นๆที่อยู่ในระดับกลาง20,000 ยูโร
แรงงานที่มีทักษะ15,906 ยูโร
ลูกจ้าง15,327 ยูโร
การลาพักผ่อน
ตามกฎหมาย ชาวฝรั่งเศสสามารถลาพักผ่อนได้ 5 อาทิตย์ต่อปี และร้อยละ 69 ของชาวฝรั่งเศสจะเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ในระหว่างการลาพัก
สหภาพแรงงาน
ชาวฝรั่งเศสประมาณ 2 ล้านคนเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 8 ของประชากรในวัยทำงานและนับเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดในในสหภาพยุโรป
สหภาพแรงงานที่สำคัญๆ ได้แก่ CGT (Confédération générale du travail), CFDT (Confédération démocratique du travail), FO (Force ouvrière), CFTC (Confédération française des travailleurs chrétiens) และ FSU (Fédération syndicale unitaire)
การประกันสังคม
ระบบประกันสังคมของฝรั่งเศส (หรือที่เรียกว่า la Sécurité Sociale) เริ่มขึ้นในปี 1945 โดยอยู่บนหลักการของการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการส่งเงินเข้าสมทบกองทุน (สิทธิประโยชน์ที่ได้รับมาจากเงินที่สมทบเข้ากองทุนในแต่ละเดือนของผู้ทำงาน)
ค่าใช้จ่ายในระบบประกันสังคมคิดเป็นร้อยละ 10.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทั้งนี้เงินอุดหนุนระบบหลักของกองทุนประกันสังคม ร้อยละ 67 มาจากเงินที่นายจ้างและลูกจ้างจ่ายสมทบและอีกร้อยละ 20 มาจากภาษีอื่นๆ ที่เก็บจากรายได้อันมิได้มาจากการทำงาน เช่น ภาษี Contribution sociale généralisée ที่จัดเก็บเพื่อนำเข้ากองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะ ส่วนเงินอุดหนุนจากภาครัฐมีเพียงร้อยละ 13 ของกองทุน สิทธิประโยชน์ต่างๆของระบบประกันสังคมมีทั้งในรูปของเงินบำนาญของผู้เกษียนอายุ (ร้อยละ 49.2) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสุขภาพ (ร้อยละ 27.2) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับครอบครัว (ร้อยละ 12.8) และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอาชีพ เช่น การชดเชยการว่างงาน การอบรมวิชาชีพ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคม (ร้อยละ 8.4)
ด้วยเหตุที่สัดส่วนของผู้เกษียณมีแต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน รวมทั้งความก้าวหน้าทางการแพทย์และอายุของประชากรที่ยืนยาวมากขึ้น มีผลทำให้การเงินในระบบหลักของกองทุนประกันสังคมต้องติดลบและผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการประกันสังคมสำหรับผู้สูงอายุในปี 2003
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.travail.gouv.fr
สุขภาพ
ปัญหาสุขภาพถือเป็นสิ่งที่ชาวฝรั่งเศสให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ชาวฝรั่งเศสใช้จ่ายเงินสำหรับการดูแลรักษาสุขภาพในปี 2004 เป็นจำนวนเงิน 144 พันล้านยูโร กองทุนของระบบประกันสังคม (la Sécurité Sociale) สนับสนุนด้านการเงินเพียงร้อยละ 75.8 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นส่วนที่แต่ละครัวเรือนและบริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบมีแต่จะเพิ่มขึ้น การปฏิรูปเริ่มปี 2004 ทำให้เกิดความสมดุลย์มากขึ้น
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sante.gouv.fr
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.insee.fr
สถาบันการเมืองการปกครอง
รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 4 ตุลาคม 1958 ได้ระบุบทบาทหน้าที่ของสถาบันต่างๆของสาธารณรัฐที่ 5 ไว้ ทั้งนี้ได้มีการแก้ไขรายละเอียดบางส่วนของรัฐธรรรมนูญดังกล่าวหลายครั้ง เช่น การให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง (1962) การเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับการรับโทษทางอาญาของรัฐมนตรี (1993) การให้มีการประชุมสภาเพียงสมัยเดียว การขยายขอบข่ายที่จะให้มีการออกเสียงประชามติ (1995) การกำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับสถานภาพของนิวแคลีโดเนีย (1998) การจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจและเงินตรา การให้หญิงและชายมีสิทธิเท่าเทียมกันสำหรับการอยู่ในวาระเลือกตั้งและการดำรงตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้ง การยอมรับขอบข่ายอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (1999) การลดระยะเวลาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี (2000)
ศาลรัฐธรรมนูญ
ประกอบด้วยตุลาการ 9 คน มีหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งให้ดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและดูแลความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.conseil-constitutionnel.fr
ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดีซึ่งเป็นตำแหน่งประมุขของสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้มาจากการเลือกตั้งทั่วไปโดยตรง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี (ตามประชามติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2000)
นายนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเป็นวาระแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2550 นับเป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 ของสาธารณรัฐที่ 5 ของประเทศฝรั่งเศส
ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอรายชื่อ (มาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญ)
ประธานาธิบดีเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี ประกาศใช้กฎหมาย เป็นผู้นำของทุกเหล่าทัพและสามารถประกาศยุบสภา ในกรณีเกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรงสามารถใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 16
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.elysee.fr
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล
ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายของประเทศและเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินตามแนวนโยบายดังกล่าว นายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา (มาตรา 20)
นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลกิจการต่างๆของรัฐบาลและดูแลการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ (มาตรา 21)
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ นายฟรองซัวส์ ฟียง ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2550
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.premier-ministre.gouv.fr
รัฐสภา
ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร
- วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั่วไปโดยอ้อม สมาชิกวุฒิสภามีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี (เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2003 ในอดีตวาระยาวถึง 9 ปี) โดยมีการเลือกตั้งหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดใหม่ทุก 3 ปี การเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2004
- สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งทั่วไปโดยตรง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี การเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2002
นอกเหนือจากการควบคุมการปฏิบัติงานของรัฐบาลแล้ว สภาทั้งสองยังมีหน้าที่พิจารณาร่างและลงมติกฎหมายต่าง ๆ ในกรณีที่ทั้งสองสภามีความเห็นแย้งกัน ให้ยืนตามมติของสภาผู้แทนราษฎร
วุฒิสภา
การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2004 สมาชิกทั้งหมด 331 คนมาจากกลุ่มการเมืองต่างๆ ดังนี้
กลุ่ม Union pour un Mouvement Populaire 155คน
กลุ่มสังคมนิยม 97 คน
กลุ่ม Union centriste 33 คน
กลุ่ม communiste, républicain et citoyen 23 คน
กลุ่ม Rassemblement démocratique et social européen 16 คน
ไม่สังกัดกลุ่ม7คน
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.senat.fr
สภาผู้แทนราษฎร
การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 และ 16 มิถุนายน 2002 ผู้แทนราษฎรทั้งหมด 577 คนมาจากกลุ่มการเมืองต่างๆดังนี้
กลุ่ม Union pour un Mouvement Populaire 354 คน (รวมผู้ที่มีแนวคิดไปในทางเดียวกันอีก 10 คน)
กลุ่มสังคมนิยม 142 คน (รวมผู้ที่มีแนวคิดไปในทางเดียวกันอีก 8 คน)
กลุ่ม Union pour la Démocratie Française 27 คน (รวมผู้ที่มีแนวคิดไปในทางเดียวกันอีก 3 คน)
กลุ่ม députés communistes et républicains 22 คน
ไม่สังกัดกลุ่มการเมืองใดๆ 11 คน
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.assemblee-nationale.fr
ฝ่ายตุลาการ
โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมของประเทศฝรั่งเศสซึ่งถือเป็นผู้ปกปักษ์รักษาเสรีภาพส่วนบุคคล (มาตรา 66 แห่งรัฐธรรมนูญ) แบ่งออกเป็นศาลยุติธรรมที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่างประชาชนด้วยกันเองและศาลปกครองที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่างประชาชนและอำนาจรัฐ
ในส่วนของศาลยุติธรรม ยังแบ่งความรับผิดชอบเขตอำนาจศาลออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้
เขตอำนาจศาลที่พิจารณาคดีทางแพ่งซึ่งจะครอบคลุมคดีความเกี่ยวกับกฎหมายทั่วๆไป อยู่ในความรับผิดชอบของศาลจังหวัด (Tribunal de Grande Instance) หรือศาลชำนัญพิเศษซึ่งประกอบด้วยศาลแขวง (Tribunal d’Instance) ศาลพาณิชย์ (Tribunal de Commerce) ศาลพิจารณาคดีความเกี่ยวกับการประกันสังคม (Tribunal des affaires de sécurité) และศาลแรงงานที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง (Conseil des prud’hommes qui règle les litiges entre salariés et emplyeurs)
เขตอำนาจศาลที่พิจารณาคดีอาญา แบ่งความรับผิดชอบของศาลตามลักษณะความผิด 3 ประเภทดังนี้- ความผิดที่มีโทษเปรียบเทียบปรับ เป็นหน้าที่ของศาลแขวง (Tribunal de Police) - ความผิดทางอาญาที่มีโทษเบาเป็นหน้าที่ของศาลอาญา (Tribunal correctionnel) - ความผิดทางอาญาประเภทร้ายแรงอยู่ในความดูแลของศาลอาญา (Cour d’assises) ศาลอาญาประเภทนี้ใช้ระบบลูกขุนและคำพิพากษาถือเป็นที่สุด ไม่สามารถอุทธรณ์ได้
นอกจากนี้ ยังมีศาลคดีเด็กและเยาวชน (Tribunal pour Enfants) ซึ่งถือเป็นเขตอำนาจศาลที่แตกต่างจากที่กล่าวมาเนื่องจากจะรับพิจารณาเฉพาะคดีแพ่งและอาญาสำหรับเด็กและเยาวชน
ศาลฎีกา (Tribunal de Cassation) เป็นกระบวนการยุติธรรมชั้นสูงสุด รับผิดชอบการพิจารณาตรวจสอบข้อกฎหมายของอรรถคดีที่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
สำหรับคดีความระหว่างหน่วยงานของรัฐและประชาชน เขตอำนาจศาลสูงสุดคือศาลปกครอง (Conseil d’Etat) ซึ่งจะพิจารณาพิพากษาความชอบด้วยกฎหมายของนิติกรรมทางการปกครองและกฎระเบียบต่างๆ ที่ออกโดยฝ่ายปกครอง คำพิพากษาของศาลปกครองถือเป็นที่สุด นอกจากนี้ศาลปกครองยังเป็นผู้พิจารณาร่างกฎหมายหรือกฎษฎีกาบางฉบับที่รัฐบาลส่งเรื่องมาเพื่อขอทราบความเห็น
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.justice.gouv.fr และ www.conseil-etat.fr
เพลงชาติและคำขวัญ
ลา มาร์เซยแยส (La Marseillaise) เป็นเพลงชาติของฝรั่งเศสมาตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 1795 แต่เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า Chant de guerre pour l’armée du Rhin ซึ่งประพันธ์ขึ้นที่เมืองสตราสบูรก์เมื่อปี 1792
La Marseillaise
Allons, enfants de la Patrie, Le jour de gloire est arrive, Contre nous de la tyrannie L'etendard sanglant est leve, L'etendard sanglant est leve.
Entendez-vous, dans le campagnes, Mugir ces feroces soldats? Ils viennent jusque dans nos bras, Egorger nos fils, nos compagnes.
Aux armes, citoyens! Formez vos bataillons! Marchons! Marchons! Qu'un sang impur abreuve nos sillons
เชิญฟังเพลงชาติฝรั่งเศส
www.marseillaise.org/english/audio.html
คำขวัญของสาธารณรัฐฝรั่งเศสคือเสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ
ธงชาติของฝรั่งเศส
แต่เดิมสีน้ำเงินแดงเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังรักษากรุงปารีส ต่อมาในปี 1789 นายพลลาฟาแยตต์เพิ่มสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ นับแต่นั้นมาสีน้ำเงินขาวแดงจึงเป็นสีของธงชาติและกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
การป้องกันประเทศ
ในปีค.ศ. 2005 งบประมาณป้องกันประเทศมีจำนวน 32,92 พันล้านยูโร คิดเป็นร้อยละ 1.94 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและร้อยละ 11.41 ของงบประมาณโดยรวม
ตามความประสงค์ของอดีตประธานาธิบดีฌาคส์ ชีรัคและคณะรัฐบาลที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันประเทศให้เหมาะสมกับความจำเป็น บัญญัติเกี่ยวกับโครงการทางการทหารช่วงปีค.ศ. 2003-2008 เป็นตัวกำหนดงบประมาณและจำนวนบุคลากรสังกัดเหล่าทัพ และมีมาตราการต่างๆ เพื่อการปรับปรุงการป้องกันประเทศให้เหมาะสมกับปัญหาปัจจุบันดังต่อไปนี้
เสริมสร้างการปราบปรามการก่อการร้ายให้แข็งแกร่ง
ส่งเสริมนโยบายการต่อต้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์
ร่วมในการป้องกันและแก้ไขวิกฤต (นายทหารจำนวน 15-20,000 นายร่วมในแผนการดำเนินการ)
ยืนยันพันธกรณีของฝรั่งเศสในการเข้าร่วมกองกำลังทหารร่วมของยุโรปและนาโต้
ในปี 2005 บุคลากรสังกัดเหล่าทัพต่างๆ ของฝรั่งเศสทั้งทหารและพลเรือนมีจำนวนทั้งสิ้น 436,910 คนและขึ้นอยู่กับกองทัพต่างๆ ดังนี้
กองทัพบก 162,521 คน
กองทัพอากาศ 68,610 คน
กองทัพเรือ 53,460 คน
ตำรวจสังกัดกระทรวงกลาโหม 100,721 คน
48,598 คนกระจายอยู่ในหน่วยสนับสนุน (อาทิเช่น หน่วยงานด้านสุขภาพ หน่วยงานบรรเทาทุกข์ ฯลฯ)
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.defense.gouv.fr
Subscribe to:
Posts (Atom)